สองปีที่แล้ว กรีนพีซมีโอกาสได้คุยกับนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งจากอำเภอจะนะ ที่ออกมาคัดค้านโครงการนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ซึ่งเตรียมผุดขึ้นในอำเภอบ้านเกิดของเธอ 

จากวันนั้นถึงวันนี้ ลูกสาวชาวประมงที่อาศัยอยู่หมู่บ้านเล็ก ๆ ไปโรงเรียนเช้าเย็นกลับ เล่นน้ำทะเลวันหยุด ไครียะห์ ระหมันยะ กลายเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม และชื่อของเธอได้กลายเป็นหนึ่งในชื่อที่ติดหูมากที่สุด ในฐานะเยาวชนผู้เคลื่อนไหวเพื่อปกป้องบ้านเกิด 


แต่ใครบ้างจะรู้ว่า “ยะห์” ต้องแลกกับอะไรบ้าง ในการออกมาเคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตที่เธอหวงแหน 

สองปีแห่งการต่อสู้

ย้อนไปวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการขยายผลโครงการ “สามเหลี่ยมมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน” ไปสู่เมืองต้นแบบที่ 4 “อำเภอจะนะ” จังหวัดสงขลา” ให้เป็น “เมืองต้นแบบอุตสาหกรรมก้าวหน้าแห่งอนาคต” ตามข้อเสนอของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต)  โดยในแผนรวมถึงการสร้างท่าเรือน้ำลึก ทางรถไฟเชื่อมโยงท่าเรือ โรงไฟฟ้า และนิคมอุตสาหกรรม 

ต่อมาวันที่ 21 มกราคม 2563 มติครม.เห็นชอบให้อำเภอจะนะเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ และ 18 สิงหาคม 2563 ครม. รับทราบผลการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งนำไปสู่การแก้ผังเมืองจากสีเขียวเป็นสีม่วงโดยเวทีรับฟังความเห็นดังกล่าว ไม่ได้เปิดพื้นที่ให้กลุ่มผู้คัดค้านมีส่วนร่วม 

เพราะการเร่งรัดอนุมัติโครงการ ความไม่ชอบธรรมในการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็น และความกังวลว่านิคมฯ อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตชุมชน โดยเฉพาะต่อทะเลที่พวกเขาฝากชีวิตไว้มาเนิ่นนาน ยะห์และชาวบ้านอำเภอจะนะจึงเรียกร้องให้รัฐบาลชะลอโครงการ และจัดให้มีการศึกษาผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Environmental Assessment) หรือที่เรียกสั้นๆว่า SEA อย่างรอบคอบเสียก่อน 

ชาวบ้านจะนะชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล | © Nichanan Tanthanawit / Greenpeace 

แต่เมื่อความพยายามไม่เป็นผล เดือนธันวาคม ปี 2563 ยะห์และชาวบ้านจะนะในนาม “จะนะรักษ์ถิ่น” จึงเดินทางมาชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาล ท้ายที่สุด รัฐบาลมีคำสั่งชะลอการพิจารณาแก้ผังเมือง และได้มีการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ชาวบ้านจะนะจึงเดินทางกลับ

แต่ปี 64 โครงการกลับยังคงเดินหน้า มีการจัดเวทีรับฟังความเห็นเพื่อเปลี่ยนสีผังเมือง เสียอย่างนั้น… 

“หน่วยงานรัฐมีจัดเวทีประชาพิจารณ์ ที่จัดเป็นพิธีกรรม เขาก็มาทำนั่นนี่เรื่อยๆ แต่เวลามีมาขุดเจาะในพื้นที่ชาวบ้านไปไล่ตลอด” ยะห์เล่าให้เราฟัง 

วันที่ 6 ธันวาคม 2564 ชาวบ้านกลุ่มจะนะรักษ์ถิ่น จึงรวมตัวกันอีกครั้งหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อทวงคำสัญญาที่รัฐบาลให้ไว้เมื่อปีก่อน แต่เวลาสามทุ่มโดยประมาณ เจ้าหน้าที่กลับใช้กำลังสลายการชุมนุม และจับกุมชาวบ้านจะนะ

“มีเจ้าหน้าที่มาบอกว่าถ้าไม่ย้ายเดี๋ยวจะสลายการชุมนุมนะ ถามชาวบ้านว่าเอายังไงต่อ ชาวบ้านก็จะนั่งตรงนี้ เพราะสัญญากับใครก็อยากคุยกับคนนั้น” ยะห์เริ่มเล่าเหตุการณ์ก่อนการสลายการชุมนุม

“สักพักหนึ่ง ชาวบ้านละหมาดอยู่ ก็มีโทรโข่งเข้ามาว่า คนที่ไม่เกี่ยวข้องให้ออกไป และสลายการชุมนุมทันที วันนั้นมีเด็กอยู่ประมาณ 9 คน อายุ 12-17 ปี เราก็พาน้องออกมาก่อน และมีผู้สูงอายุแบบ 60 บางคนมีโรคประจำตัว โดนลากไป เขาเข้ามาแล้วก็อุ้ม บางคนโดนโล่ทุบ คนที่เป็นผู้ชายโดนทุบ” 

ชาวบ้านจะนะชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล | © Tadchakorn Kitchaiphon / Greenpeace

ชาวบ้านทั้งหมด 37 คนถูกจับ ก่อนปล่อยตัวในวันต่อมา ภายใต้เงื่อนไขว่าห้ามจัดกิจกรรมอีก 

แต่กลุ่มจะนะรักษ์ถิ่นปฏิเสธที่จะเดินทางกลับบ้าน และกลับไปปักหลักชุมนุมต่อที่หน้าทำเนียบรัฐบาล กระทั่งในที่สุด มีมติครม. ให้ชะลอโครงการ จนกว่าจะมีผลการศึกษาผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ 

ราคาที่ต้องจ่าย 

เพราะความเด็ดเดี่ยวของยะห์และชาวจะนะ ที่แม้จะโดนคดีก็ไม่ยอมกลับบ้าน แต่ยืนหยัดต่อสู้ ทำให้โครงการนิคมฯ ถูกชะลอออกไปได้ถึง 2 ครั้ง จนกว่าจะมีผลการศึกษาผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์  และประเด็น #Saveจะนะ ยังเป็นที่จับตาของสื่อและประชาชนตลอดมา

แต่แม้ว่ามติครม.ล่าสุดจะออกมาเป็นที่พอใจ ตลอดสองปีที่ผ่านมา สิ่งที่ยะห์ต้องแลกเพื่อปกป้องบ้านของเธอ คือ  “เวลา” และ “ชีวิตวัยรุ่น” 

ชาวบ้านจะนะชุมนุมที่หน้าทำเนียบรัฐบาล | © Chanklang Kanthong / Greenpeace

ปัจจุบัน ยะห์ กำลังศึกษาระดับชั้นปี 1 มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ในสาขานวัตกรรมการออกแบบสื่อ เธอเล่าว่าที่เลือกเรียนสาขาดังกล่าว เพราะชอบ “เล่าเรื่อง” และอยากให้เรื่องเล่าชุมชนและการต่อสู้ “ไปไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้” 

ด้วยวัย 19 ปี ยะห์ยอมรับว่าเธอเพียงต้องการใช้ชีวิตวัยรุ่น ได้เรียนในสิ่งที่เธอชอบ ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน และใช้เวลากับครอบครัว 

“มันมีบางอารมณ์อยู่แล้วว่า ทำไมต้องเป็นเรา เป็นคนอื่นไม่ได้เหรอ  ถ้าไม่มีเหตุการณ์แบบนี้ เราคงได้กลับไปนอนที่บ้าน ได้กลับไปดูหนัง กลับไปฟังเพลง ทำการบ้าน ทำโปรเจ็คที่อาจารย์สั่ง ทำงานกลุ่มพร้อม ๆ กับเพื่อนคนอื่นเขา ไปอยู่มหา’ลัย ตอนเย็นเพื่อนไปดูพระอาทิตย์ตก เช้าก็ไปวิ่ง กลางคืนนั่งดูเน็ตฟลิกซ์ในหอ แล้วก็หัวเราะกัน”  ยะห์กล่าว

ทรัพยากรทางธรรมชาติของจะนะมีความมั่งคั่ง เอื้อให้คนในชุมชนไม่เดือดร้อนแม้สถานการณ์โควิด คนที่เคยออกไปหางานทำนอกชุมชน ก็ได้กลับมาอาศัยทะเลและทรัพยากรในพื้นที่เลี้ยงดูตัวเองในสถานการณ์ที่ยากลำบาก

ดังนั้นจึงไม่ใช่ “เรื่องแปลก” อะไรหากคนในพื้นที่ที่อาศัยอยู่กับอาชีพเหล่านี้มานานหลายชั่วอายุคน จะเกิดความกังวลหาก หากมีเขตอุตสาหกรรมผุดขึ้นในชุมชนจริงๆ

สิ่งที่ภาครัฐควรจะทำคือการ “ตอบ” ให้ได้ว่าโครงการใหญ่นี้จะกระทบสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ต่อเนื่องไปถึงวิถีชีวิตของคนในชุมชนอย่างไร และให้พวกเขามีส่วนร่วมในการพัฒนาบ้านเกิด มิใช่กีดกันคนที่เห็นต่าง 

“อึดอัดมากเลย ทุกวันนี้เหมือนโดนบีบคอ คนธรรมดาแบบเรา ไม่ได้ทำอะไร ทำไมต้องดิ้นรนขนาดนี้ ทั้งๆที่ชีวิตเรามันไม่ได้ดีขนาดนั้นอยู่แล้ว มันก็ดีในแบบที่ว่าเราอยู่ของเราไม่ได้ยุ่งกับใคร แต่อยู่ๆก็มีคนมายุ่งกับเรา จนทำให้เราต้องดิ้นรน ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เราไม่ได้ดิ้นรนขนาดนี้” ยะห์กล่าวปิดท้าย 


อ้างอิง:

อ้างอิง:
https://www.prachachat.net/local-economy/news-356154
https://www.prachachat.net/breaking-news/news-573640https://www.isranews.org/article/isranews-scoop/104780-savechana-22.htmlhttps://prachatai.com/journal/2020/07/88542