ลองจินตนาการว่า ถ้าน้ำกำลังล้นอ่างล้างจาน สิ่งแรกที่คุณจะทำคืออะไร? หาไม้ถูพื้นมาเช็ดทำความสะอาด? หาภาชนะมาวิดน้ำออก? หรือปิดก๊อกน้ำ? คำตอบที่ชัดเจนที่สุดก็คือคำตอบสุดท้าย และนี่เป็นสถานการณ์ที่โลกกำลังเผชิญอยู่กับพลาสติก

Freedom Island Waste Clean-up and Brand Audit in the Philippines. © Daniel Müller / Greenpeace

กรีนพีซและเครือข่าย #BreakFreeFromPlastic จัดกิจกรรมเก็บขยะชายหาด และทำการสำรวจขยะ บริเวณเกาะ Freedom Island ในฟิลิปปินส์

ในบริบทของปัญหาขยะพลาสติก การหยุดการผลิตก็เปรียบเสมือนการปิดก๊อกน้ำ เราจำเป็นต้องหยุดการผลิตเป็นอย่างแรก และนั่นคือสิ่งที่เราต้องการบอกเนสท์เล่ ในฐานะที่เนสท์เล่เป็นหนึ่งในบริษัทผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก ด้วยยอดขายต่อปีประมาณ 3 ล้านล้านบาท เนสท์เล่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการผลิตพลาสติก นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมในการประชุมสามัญประจำปีในวันนี้นักกิจกรรมกรีนพีซเข้าร่วมงานเพื่อท้าทายคณะกรรมการบริหารด้วยพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งของบริษัท ซึ่งพบว่าก่อให้เกิดมลพิษในมหาสมุทร

จนนิเฟอร์ มอร์แกน ผู้อำนวยการบริหาร กรีนพีซสากล เรียกร้องให้ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นของเนสท์เล่แสดงความเป็นผู้นำอย่างแท้จริงในการแก้ไขวิกฤตมลพิษพลาสติก อยากรู้ไหมว่าเธอกล่าวอะไรบ้าง?

Action at the Nestlé Annual General Meeting in Lausanne. © Greenpeace

เจนนิเฟอร์ มอร์แกน ผู้อำนวยการบริหาร กรีนพีซสากล กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมประจำปีของเนสท์เล่ โดยมีนักกิจกรรมกรีนพีซยืนอยู่หน้าเวทีพร้อมกับบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่พบจากมหาสมุทรทั่วโลก

สุนทรพจน์ของ เจนนิเฟอร์ มอร์แกน

ทุกคนคงมีภาพของโลกแห่งความเป็นจริงกันอยู่แล้ว ภาพของบรรจุภัณฑ์พลาสติกรัดคอเต่าทะเล เป็นกับดักพันขานก และเข้าไปอยู่ในท้องวาฬปิดกั้นการย่อยอาหารจนวาฬตาย

พลาสติกได้หลุดรอดลงแม่น้ำและมหาสมุทรของเรา ทับถมอยู่ในหลุมฝังกลบ ถูกนำไปเผาและปล่อยสารเคมีเป็นพิษ และถูกทิ้งเรี่ยราดจนทำลายสิ่งแวดล้อมภายในชุมชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

Plastic Waste in Verde Island, Philippines. © Noel Guevara / Greenpeace

ภาพของปูที่ติดอยู่ในแก้วพลาสติก ภาพนี้ถูกถ่ายได้ในบริเวณที่มีระบบนิเวศทางทะเลอันอุดมสมบูรณ์ในเมือง บาธังกัส (Batangas) ประเทศฟิลิปปินส์

มลพิษพลาสติกคือหายนะด้านสิ่งแวดล้อม มันเป็นสัญญาณว่ามีบางอย่างผิดปกติ และเป็นสัญญาณว่าระบบเศรษฐกิจแบบทิ้งขว้างซึ่งเป็นการบริโภคที่ไม่มีที่สิ้นสุดและทุกอย่างถูกออกแบบมาให้ใช้แล้วทิ้งดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่อาจเดินหน้าต่อไปได้อีกแล้ว

เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา พวกเราพร้อมด้วยกลุ่มรณรงค์ภายใต้ชื่อ Break Free From Plastic ทำการสำรวจและพบว่าเนสท์เล่เป็นหนึ่งในหลายบริษัทที่บรรจุภัณฑ์พลาสติกก่อมลภาวะเป็นพิษต่อชายหาด ทางระบายน้ำและชุมชนในพื้นที่ต่างๆ ทั้งหกทวีป  เรารู้ว่าสุดท้ายแล้วพลาสติกจะไปจบลงที่ไหน เราเห็นได้ด้วยตาของเราเอง ขณะนี้ผู้คนนับล้านคนทั่วโลกต่างตระหนักดีว่าพลาสติกเหล่านั้นมีแหล่งกำเนิดมาจากไหนด้วย นั่นก็คือ เนสท์เล่

Plastic Clean Up on Kaho'olawe. © Tim Aubry / Greenpeace

กิจกรรมเก็บขยะใน ฮาวาย โดยกรีนพีซและพันธมิตร the Protect Kaho’olawe ‘Ohana (PKO) และ Kaho’olawe Island Reserve Commission (KIRC) เคธ เมลเกส ผู้ประสานงานรณรงค์มหาสมุทรและพลาสติก ส่งคำถามให้กับเนสท์เล่ระหว่างการทำความสะอาดชายหาด

พลาสติกเกิดจากสารที่ได้จากน้ำมันปิโตรเคมีที่เป็นพิษและเข้าสู่แหล่งอาหาร น้ำ และร่างกายของมนุษย์ นักวิทยาศาสตร์กำลังตีพิมพ์การศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพของมนุษย์ที่เป็นอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้จากพลาสติกและเริ่มเข้าใจถึงนัยยะสำคัญ แต่ผู้คนกำลังเรียกร้องให้ปัญหานี้ได้รับการแก้ไขทันที ไม่ควรล่าช้าไปมากกว่านี้แล้ว

แต่เมื่อปีที่แล้ว เนสท์เล่ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกกว่า 1.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึงร้อยละ 13 เนสท์เล่ควรวิตกกังวลเกี่ยวกับความตื่นตัวของสาธารณชนที่เพิ่มขึ้นต่อมลพิษพลาสติก เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากเข้าใจบทบาทของเนสท์เล่ในวิกฤติครั้งนี้

นี่ถือเป็นโอกาสของเนสท์เล่ในการแสดงความเป็นผู้นำในการกู้วิกฤติของโลก ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณบอกว่าคือเป้าหมายของคุณเป็นผู้นำในการจัดการวิกฤตครั้งนี้เถอะนะ

อย่างไรก็ตาม การแสดงตนในการเป็นผู้นำแก้ไขปัญหา ไม่ได้หมายถึง การแทนที่พลาสติกด้วยวัสดุใช้ครั้งเดียวทิ้งอื่นๆ เช่น กระดาษหรือพลาสติกชีวภาพ เพราะเท่ากับการย้ายผลกระทบการทำลายล้างจากวัฒนธรรมทิ้งขว้างไปสู่พื้นที่ป่าและพื้นที่เกษตรกรรมของโลกแทน หรือทำให้มายาคติที่ว่าการรีไซเคิลจะแก้ปัญหาวิกฤตพลาสติกได้ยังคงอยู่ต่อไป

นักกิจกรรมกรีนพีซเรียกร้องให้เนสท์เล่ยุติมลพิษพลาสติกในการประชุมสามัญประจำปีของบริษัท

นักกิจกรรมกรีนพีซสวิสเซอร์แลนด์และเครือข่ายพันธมิตร Break Free From Plastic ทั่วโลกร่วมกล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมสามัญประจำปีของเนสท์เล่ เพื่อต้องการให้เนสท์เล่หยุดการพึ่งพาพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง (Single-use Plastic) และปรับเปลี่ยนการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกทันทีและดำเนินแผนการลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกอย่างเป็นรูปธรรมพร้อมทั้งกำหนดการที่ชัดเจน เพื่อเดินหน้าออกจากวัฒนธรรมใช้แล้วทิ้งเจนนิเฟอร์ มอร์แกน ผู้อำนวยการบริหารกรีนพีซสากล กระตุ้นเตือนผู้บริหารของเนสท์เล่และผู้ถือหุ้นให้แสดงถึงความเป็นผู้นำในการแก้ไขวิกฤตมลพิษพลาสติก“ด้วยพลังมวลชนและเครือข่าย Break Free From Plastic จากทั่วโลก ทำให้พวกเราและเครือข่ายพันธมิตรมาที่นี่ เพื่อบอกเนสท์เล่ว่าพวกเราถูกยัดเยียดเกินพอแล้ว ผู้คนต่างเห็นกับตาตัวเองว่ามลพิษพลาสติกกำลังทำลายมหาสมุทรของเรา รวมถึงลำธารและชุมชนด้วย เราทั้งหมดมาร่วมกันเป็นสักขีพยานถึงการที่มลพิษพลาสติกปนเปื้อนระบบนิเวศอันมีค่า และเริ่มทำความเข้าใจว่าพลาสติกส่งผลกระทบกับพวกเราด้วย”กรีนพีซต้องการให้เนสท์เล่และบรรษัทข้ามชาติต่างๆ ปรับเปลี่ยนการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก และดำเนินแผนการลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกอย่างเป็นรูปธรรมพร้อมทั้งกำหนดการที่ชัดเจน เพื่อเดินหน้าออกจากวัฒนธรรมใช้แล้วทิ้งร่วมเป็นอีกหนึ่งพลังเพื่อยุติมลพิษพลาสติกได้ที่ https://act.gp/2Z5QMGj#BreakFreeFromPlastic

Posted by Greenpeace Thailand on Friday, April 12, 2019

 

ความเป็นผู้นำที่แท้จริงหมายถึงการเผชิญหน้ากับวัฒนธรรมกินทิ้งกินขว้าง ซึ่งถือเป็นรากฐานของแบบจำลองธุรกิจในปัจจุบันของเนสท์เล่ ทั้งนี้ความเป็นผู้นำยังหมายถึงการมุ่งสู่แนวทางการแก้ปัญหาบรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง นั่นก็คือระบบการส่งและกระจายสินค้าซึ่งเป็นทางเลือกที่มุ่งเน้นไปที่การเติมและนำกลับมาใช้ใหม่

ความเป็นผู้นำหมายถึงความโปร่งใสในเรื่องรอยเท้าพลาสติกของบริษัท หมายถึงการให้คำมั่นสัญญาในตอนนี้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงการผลิตและการใช้งานพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง และกำหนดเป้าหมายเพื่อลดจำนวนหน่วยบรรจุภัณฑ์พลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้ง ให้เป็นเป้าหมายหลักของกลยุทธ์บริษัท

เป็นเรื่องปกติที่ไม่สามารถยอมรับได้สำหรับบริษัทที่ผลิตพลาสติกเป็นพันล้านชิ้นทุกปี และถูกใช้เพียงไม่กี่วินาทีแล้วหลังจากนั้นก็ถูกทิ้งให้สร้างมลพิษต่อชุมชน ห่วงโซ่อาหาร และระบบนิเวศหลายชั่วอายุคน 

คำถามที่ชัดเจนคือ เนสท์เล่จะเป็นผู้นำที่แท้จริงหรือคุณจะยังคงปกป้องโมเดลธุรกิจที่ล้าสมัยและทำลายล้าง ซึ่งส่งผลกระทบแง่ลบต่อพวกเราทุกคนหรือไม่

กรีนพีซจะยังคงกดดันคุณให้มีส่วนรับผิดชอบในการเปลี่ยนแปลงระบบที่ครอบคลุมทุกด้าน ทั้งการลงทุนด้านนวัตกรรมและเป็นผู้นำที่ก้าวไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนและเป็นธรรมมากขึ้น

ทุกคนกำลังจับตามองอยู่