วิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ได้เป็นเพียงหัวข้อถกเถียงในเวทีประชุมระดับโลกอีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นภัยคุกคามชีวิตประจำวันของผู้คนทั่วทุกมุมโลก หลักฐานทางวิทยาศาสตร์จากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ยืนยันว่าแนวโน้มอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกกำลังเพิ่มสูงขึ้น พร้อมความถี่และความรุนแรงของปรากฏการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็นคลื่นความร้อน ภาวะแห้งแล้งที่ยาวนาน หรือความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำฝน สถานการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นทวีปที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก และประชากรในพื้่นที่ที่พึ่งพาภาคเกษตรกรรมถือเป็นกลุ่มเปราะบางต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในฐานะแหล่งผลิตอาการสำคัญของโลก เปรียบเสมือน “อู่ข้าวอู่น้ำ” ของโลก กำลังเผชิญสถานการณ์ที่น่ากังวล เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุด แบบจำลองสภาพภูมิอากาศคาดการณ์ว่าอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นสูงอย่างมีนัยสำคัญ พร้อมกับความไม่แน่นอนของรูปแบบมรสุม
สำหรับประเทศไทย คาดการณ์ว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้น 0.95 ถึง 3.23 องศาเซลเซียสภายในสิ้นศตวรรษนี้ ภัยคุกคามดังกล่าวกำลังส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงทางอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการเกษตรที่เน้นการผลิตข้าวซึ่งเป็นอาหารหลักของประชากร ข้อมูลจากวารสาร Sciencific Reports เรื่อง Case study on climate change effects and food security in Southest Asia คาดการณ์ว่าภายในปี 2571 ผลผลิตข้าวในประเทศไทยอาจลดลงถึงร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยหากใช้ข้อมูลค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจในอดีตเป็นกรอบการประเมินพบว่าผลผลิตข้าวในปี 2564 อยู่ที่ประมาณ 20 ล้านตัน โดยราคาขายข้าวอยู่ที่ประมาณ 8,000 บาทต่อตัน ซึ่งหมายความว่าผลผลิตในปี 2571 ที่ลดลงร้อยละ 7 หรือประมาณ 1.4 ล้านตันอาจส่งผลให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจประมาณ 11,200 บาท
ขณะที่ข้อมูลจากการศึกษา Impact of climate change on agricultural production; Issues, challenges, and opportunities in Asia ในวารสาร Frontiers in Plant Science ชี้ให้เห็นว่า ประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้อย่างอินเดียและปากีสถาน กำลังเผชิญกับการลดลงของผลผลิตเกษตรกรรมในระดับที่ใกล้เคียงกัน ปัจจัยหลักที่ขับเคลื่อนแนวโน้มดังกล่าวมาจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน ควบคู่กับความไม่แน่นอนของปริมาณน้ำฝน และความเสี่ยงจากภัยแล้งและอุทกภัยที่ทวีความรุนแรงและเกิดถี่ขึ้น
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางภาพอนาคตที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ยังปรากฎแสงแห่งความหวังจากพื้นที่แห่งหนึ่งในประเทศไทย นั่นคือ ชุมชนหนองไม้แก่น อำเภอแปลงยาว จังหวัดฉะเชิงเทรา พื้นที่แห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงผู้รับผลกระทบที่รอคอยความช่วยเหลือ แต่เป็นผู้แสดงบทบาทนำในการพยายามลุกขึ้นต่อสู้กับวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วยสองมือและภูมิปัญญาของชุมชน ท่ามกลางความล้มเหลวของนโยบายจากบนลงล่าง (Top-down policy) ทางรอดที่ยั่งยืนที่สุดอาจเกิดขึ้นจากฐานราก โดยอาศัยพลังจากชุมชนเพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงและยืดหยุ่นสำหรับรุ่นต่อไป

ความร้อนบนผืนดิน: ประสบการณ์ตรงของชุมชนหนองไม้แก่น
ตัวเลขและแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์อาจดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่สำหรับชุมชนหนองไม้แก่น จังหวัดฉะเชิงเทรา วิกฤตสภาพภูมิอากาศคือความจริงที่พวกเขาต้องเผชิญหน้าทุกวัน เสียงสะท้อนจากเวทีเสวนา “วนเกษตรหนองไม้แก่นโมเดล อนาคตที่ยั่งยืนของฉะเชิงเทรา” ได้เปลี่ยนข้อมูลเชิงนามธรรมให้กลายเป็นเรื่องราวของมนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ เผยให้เห็นถึงผลกระทบที่จับต้องได้และลึกซึ้งต่อทุกมิติของชีวิตในชุมชน
ภาระของเกษตรกร: เมื่อผืนนาแผดเผา
ฉะเชิงเทรามีพื้นที่ทางการเกษตรทั้งหมดกว่าร้อยละ 70 ของจังหวัด เป็นแหล่งผลิตข้าวนาปี ข้าวนาปรังง มะม่วง มันสัมปะหลัง ยางพารา มะพร้าว และพืชเศรษฐกิจอื่น ๆ เมื่อวิกฤโลกเดือดมาเยือน เกษตรกรจึงเป็นกลุ่มที่แรงกระแทกโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงของลม ฟ้า อากาศ และอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้น
“ภาวะโลกร้อนทำให้คนไม่อยากทำกิจกรรม และหนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือเกษตรกรผู้เป็นกระดูกสันหลังของชาติ โดยเฉพาะชาวนาที่ต้องทำงานกลางแจ้ง”
วีรพล ไชยสิทธิ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาฉะเชิงเทรา
คำกล่าวนี้สอดคล้องโดยตรงกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่คาดการณ์ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความร้อนที่แผดเผาไม่เพียงแต่สร้างความทุกข์ทรมานทางกาย แต่ยังบั่นทอนกำลังใจและส่งผลกระทบโดยตรงต่อความสามารถในการประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นรากฐานของความมั่นคงทางอาหารของประเทศ
นอกจากความร้อนแล้ว ความแปรปรวนของสภาพอากาศยังนำมาซึ่งปัญหาใหม่ ๆ ที่เกษตรกรต้องรับมือ ศิริพร แก้วมั่นคง นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรจากสำนักงานเกษตรอำเภอแปลงยาวระบุว่า
“วิกฤตโลกเดือดได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคเกษตรกรรม ทั้งในรูปแบบของน้ำหลากและปัญหาศัตรูพืชระบาด”
ปรากฏการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพท์ที่นักวิทยาศาสตร์เคยเตือนไว้ ” ทั้งรูปแบบของฝนที่ผิดปกติและรุนแรง” และ “การเกิดขึ้นของแมลงศัตรูพืชชนิดใหม่” ต่างเป็นภัยคุกคามสำคัญที่ขับเคลื่อนโดยสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง สำหรับเกษตรกรหนองไม้แก่น นี่หมายถึงความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นต่อผลผลิตที่อาจเสียหายจากน้ำท่วมฉับพลัน หรือการระบาดของโรคและแมลงที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน

ห้องเรียนที่หยุดชะงัก: อนาคตของเยาวชนใต้เงาความร้อน
ผลกระทบของวิกฤตโลกเดือดไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในไร่นา แต่ยังคืบคลานเข้ามาถึงรั้วโรงเรียนซึ่งมีงานวิจัยจาก National Research Council (2000) How People Learn: Brain, Mind, Experience, and School. พบว่า “Active learning environments” ที่ส่งเสริมการเรียนรู้จากประสบการณ์ มีผลต่อพัฒนาการทางความคิดและการจดจำในระยะยาวมากกว่าการสอนแบบบรรยาย แต่เมื่อวิกฤติโลกเดือดกับอุณภูมิโลกที่ร้อนขึ้นเป็นสาเหตุที่ทำให้การเรียนการสอนต้องปรับตัวเพื่อให้นักเรียนได้มีความปลอดภัย
ผู้อำนวยการณัฏฐ์สุภณ เนื้อศรี แห่งโรงเรียนหนองไม้แก่นวิทยา ได้ถ่ายทอดความจริงที่น่ากังวล โดยเล่าว่า “ในทุกเช้าเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ เด็ก ๆ ต้องเผชิญกับแดดที่ร้อนจัด จนทำให้กิจกรรมกลางแจ้งต่าง ๆ ในโรงเรียนไม่สามารถทำได้เหมือนในอดีต กิจวัตรประจำวันที่เคยเป็นเรื่องปกติของเด็กนักเรียน บัดนี้กลับกลายเป็นความเสี่ยงต่อสุขภาพ ความร้อนที่รุนแรงทำให้กิจกรรมการเรียนรู้นอกห้องเรียน การออกกำลังกาย และการละเล่นที่จำเป็นต่อพัฒนาการของเด็กต้องถูกจำกัดลง”
ภาพสะท้อนว่า วิกฤตสิ่งแวดล้อมกำลังส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและโอกาสทางการศึกษาของคนรุ่นใหม่ สิ่งที่น่าสังเกต คือ การที่ชุมชนเริ่มปรับตัวกับ “ความผิดปกติ” เหล่านี้จนกลายเป็น “ฐานวิถีชีวิตใหม่” (New Normal) ที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก การที่โรงเรียนต้องปรับเปลี่ยนตารางกิจกรรม หรือการที่มีวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่มองในสิ่งที่สะดวกกว่าเดิม นายอำเภอแปลงยาว นางสาวกัลยา ประสิทธิ์ภาคย์ กล่าวว่า “ปัจจุบันวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของบางคนที่มองว่า “ก็แค่ติดแอร์” ล้วนสะท้อนถึงการปรับตัวเพื่อรับมือในระดับปัจเจก แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเสี่ยงที่สังคมจะคุ้นชินกับสภาวะวิกฤตจนมองไม่เห็นความรุนแรงของปัญหาในระดับโครงสร้าง”
สิ่งที่ชุมชนหนองไม้แก่นกำลังเผชิญไม่ใช่ความยากลำบากที่เกิดขึ้นเฉพาะถิ่น แต่เป็นอาการของโรคร้ายระดับโลกที่กำลังแสดงผลออกมาในสนามโรงเรียนและในผืนนาของชุมชน
จากไร่สู่สวน สู่ ‘วนเกษตร’ เพื่อความอยู่รอด
ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ เสียงของคนรุ่นใหม่กลับเต็มไปด้วยความหวังและการมองไปข้างหน้า นายจิรายุ นากวิไกร ตัวแทนเยาวชน ได้เชื่อมโยงวิกฤตในปัจจุบันเข้ากับวิวัฒนาการของการทำเกษตรกรรมในครอบครัวอย่างน่าสนใจ เขาอธิบายว่า “มนุษย์เราปรับตัวเก่ง จากรุ่นปู่ย่าที่ทำไร่ มาสู่รุ่นพ่อแม่ที่ทำสวน และในปัจจุบัน รุ่นของเขาจำเป็นต้องปรับตัวไปสู่การทำเกษตรแบบใหม่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างวนเกษตร” มุมมองนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการเปลี่ยนผ่านจากการมอง “วนเกษตร” ว่าเป็นการหวนคืนสู่อดีต ไปสู่การมองว่ามันคือ “นวัตกรรมที่จำเป็น” สำหรับอนาคต เป็นการปรับตัวเชิงรุกที่ไม่ได้มุ่งแค่เอาตัวรอดไปวัน ๆ แต่เป็นการสร้างความหวังและส่งต่อโลกที่ดีกว่าให้กับคนรุ่นต่อไป ซึ่งเป็นการปรับตัวที่ต้องคำนึงถึงการส่งต่อความหวังไปสู่คนรุ่นต่อไปด้วย
เรื่องราวจากหนองไม้แก่นจึงไม่ใช่แค่บันทึกความทุกข์ยาก แต่เป็นบทพิสูจน์ถึงความเข้มแข็งและการปรับตัวของมนุษย์ที่ต้องเผชิญหน้ากับความเป็นจริงอันโหดร้ายของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และที่สำคัญที่สุด มันคือจุดเริ่มต้นของการค้นหา “ทางรอด” ที่ไม่ได้มาจากคำสั่งของใคร แต่มาจากสติปัญญาและสองมือของชุมชนในระดับรากฐานเอง
ช่องว่างเชิงนโยบายและเสียงวิพากษ์จากชุมชน
ในขณะที่ชุมชนหนองไม้แก่นกำลังเผชิญกับความร้อนระอุและผลกระทบที่รุนแรงขึ้นทุกวัน เสียงสะท้อนจากภาคประชาชนกลับชี้ไปยังปัญหาที่ใหญ่กว่า นั่นคือช่องว่างระหว่าง “นโยบาย” ที่สวยหรูบนแผ่นกระดาษกับ “การปฏิบัติ” ที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริงในพื้นที่ ความคับข้องใจนี้ไม่ได้เกิดจากความไม่เข้าใจ แต่เกิดจากประสบการณ์ตรงที่เห็นว่ากลไกของรัฐมักล้มเหลวในการตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงของประชาชน
พระครูวีรปัญโญภาส เจ้าคณะตำบลวังเย็น ผู้ซึ่งทำงานคลุกคลีกับปัญหาความยากจนในพื้นที่ ท่านได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาในเวทีเสวนาถึงความจริงที่ว่า “ทุกอย่างยังอยู่บนกระดาษ” โดยยกตัวอย่างงบประมาณจากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่ไม่เคยถูกนำมาขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม และการขาดมาตรการกระตุ้นให้เกิดการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง ท่านเปรียบเทียบสถานการณ์นี้ว่าเป็นเพียง “Player on paper” หรือผู้เล่นที่มีชื่ออยู่แค่ในเอกสาร แต่ไม่มีตัวตนในสนามจริงสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการแปลงนโยบายและงบประมาณให้เป็นการลงมือทำที่เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชน ซึ่งโครงการ EEC เองก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่น ปัญหามลพิษจากอุตสาหกรรม ขยะอุตสาหกรรม การจราจร และการแย่งชิงทรัพยากรน้ำ
ความรู้สึกท้อแท้และผิดหวังนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในชุมชนหนองไม้แก่น แต่เป็นภาพสะท้อนของปัญหาเชิงโครงสร้างในระบบการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมของไทย แนวทางการจัดการของภาครัฐมักเป็นนโยบายในรูปแบบ “บนลงล่าง” (Top-down policy) ซึ่งการตัดสินใจโดยผู้มีอำนาจจากส่วนกลาง และมักเพิกเฉยต่อความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่ กระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนที่กำหนดไว้ในกฎหมายมักถูกหลีกเลี่ยงหรือจัดขึ้นอย่างจำกัดเป็นเพียงพิธีกรรม โดยผู้มีอำนาจตัดสินใจมักไม่ต้องการแบ่งปันอำนาจของตน สิ่งนี้สร้างความขัดแย้งด้านสิ่งแวดล้อมและทำให้การแก้ปัญหาขาดประสิทธิภาพ เพราะไม่สามารถบูรณาการความรู้และมุมมองของคนในท้องถิ่นเข้าไปได้
ปัญหาเชิงโครงสร้างและนโยบายจากส่วนกลางยิ่งเลวร้ายลงเมื่อผนวกเข้ากับการขาดความโปร่งใสของภาครัฐ แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสาร ซึ่งในความเป็นจริงประชาชนมีสิทธิรับรู้และเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์สาธารณะทางด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ แต่ในทางปฏิบัติกลับตรงกันข้าม หน่วยงานรัฐมักละเลยสิทธิเหล่านี้ หรือให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับคำถาม การกระทำเช่นนี้ไม่เพียงแต่ปิดกั้นสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน แต่ยังกัดกร่อนความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อรัฐอย่างรุนแรง
กรณีศึกษาที่ชัดเจนคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่มาบตาพุด จังหวัดระยอง ซึ่งประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษทางน้ำต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อเข้าถึงข้อมูลคุณภาพน้ำจากภาครัฐ แต่กลับต้องเผชิญกับอุปสรรคและความนิ่งเฉย ความรู้สึกของชุมชนที่นั่นไม่ต่างจากชาวหนองไม้แก่น ประชาชนรู้สึกว่าข้อมูลที่ภาครัฐเปิดเผยออกมานั้น “ขาดความน่าเชื่อถือ” และ “เอนเอียงไปเพื่อประโยชน์ของโรงงานปิโตรเคมี” ความไม่ไว้วางใจนี้เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการดำเนินนโยบายใด ๆ ก็ตาม เพราะเมื่อประชาชนไม่เชื่อมั่นในรัฐ การบังคับใช้กฎหมายหรือการสร้างความร่วมมือเพื่อปฏิรูปก็แทบจะเป็นไปไม่ได้
ดาบสองคมของนโยบายสภาพภูมิอากาศ: เมื่อการลงมือทำของรัฐกลับสร้างภัย
ชุมชนไม่ได้เผชิญแค่ภัยจาก “การเพิกเฉย” ของรัฐเท่านั้น แต่ยังต้องเผชิญกับภัยที่อาจเกิดขึ้นจาก “การลงมือทำ” ของรัฐในรูปแบบที่ไม่ถูกต้องอีกด้วย นี่คือดาบสองคมของนโยบายสภาพภูมิอากาศที่ปราศจากการเคารพสิทธิชุมชน เช่น ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ของไทย ที่ตั้งเป้าหมายเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ของประเทศให้ได้ถึงร้อยละ 55 ภายในปี 2037 เพื่อบรรลุเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก (NDC) แม้เป้าหมายจะดูดี แต่แนวทางการปฏิบัติกลับนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง รัฐบาลได้ใช้นโยบายทวงคืนผืนป่า ซึ่งส่งผลให้ชุมชน ชนเผ่าชาติพันธุ์ และเกษตรกรรายย่อยที่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่ามาอย่างยาวนานถูกตราหน้าว่าเป็น “ผู้ทำลายป่า” และถูกดำเนินคดีอาญาเพื่อขับไล่ออกจากที่ดินทำกินของตนเอง กรณีของชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์อีสาน 14 คนในหมู่บ้านซับหวาย จังหวัดชัยภูมิ ที่ถูกคุกคามด้วยการขับไล่เพื่อเปิดทางให้นโยบายด้านสภาพภูมิอากาศของรัฐ คือหลักฐานที่ชี้ชัดว่าการดำเนินการทั้งเชิงนโยบายและในพื้นที่เพื่อลดโลกร้อนที่มาจาก “บนลงล่าง” โดยปราศจากการปรึกษาหารือและการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายของชุมชน สามารถกลายเป็นเครื่องมือในการทำลายวิถีชีวิตและละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนได
บทเรียนจากสถานการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่า ชุมชนอย่างหนองไม้แก่นกำลังเผชิญกับภัยคุกคามสองด้าน ด้านหนึ่งคือการถูกทอดทิ้งจากความเฉื่อยชาของนโยบายรัฐ อีกด้านหนึ่งคือภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตจากโครงการของรัฐที่มุ่งแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศแต่กลับมองข้ามและทำลายแนวทางปฏิบัติของชุมชนเอง ดังนั้น “ทางรอด” ของพวกเขาจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเรียกร้องให้รัฐ “ทำอะไรมากขึ้น” เท่านั้น แต่คือการยืนยันว่ารัฐต้อง “ทำในสิ่งที่แตกต่างออกไป” โดยเปลี่ยนจากการบังคับใช้แนวทางจากบนลงล่าง มาเป็นการส่งเสริมและเรียนรู้จากชุมชน เปิดพื้นที่การทำงานอย่างมีส่วนร่วมและมีความหมาย เพื่อสร้างแนวทางการแก้ปัญหาที่ทั้งมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมอย่างแท้จริง
รากฐานทางกฎหมาย: พลังของสิทธิชุมชนในประเทศไทย
ท่ามกลางความเฉื่อยชาของภาครัฐและความเสี่ยงจากนโยบายที่ไม่เป็นธรรม การลุกขึ้นสร้าง “วนเกษตรหนองไม้แก่นโมเดล” ไม่ใช่เป็นเพียงการเคลื่อนไหวทางสังคม แต่คือการยืนยันสิทธิตามกฎหมายที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ หัวใจสำคัญคือ “สิทธิชุมชน” ซึ่งรับรองให้ชุมชนท้องถิ่นมีอำนาจในการจัดการ บำรุงรักษา และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ของตนเองได้อย่างยั่งยืน การที่ภาคประชาชนร่วมกันออกแบบระบบนิเวศเกษตรบนผืนดินของตน จึงเป็นการใช้สิทธิที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายโดยตรง เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารและสิ่งแวดล้อม

ยิ่งไปกว่านั้น การกระทำของชุมชนยังเป็น “สิทธิในการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมาย” ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในระบอบประชาธิปไตยที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าถึงข้อมูล มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ และเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม เมื่อช่องทางที่เป็นทางการล้มเหลว ชุมชนจึงสร้างพื้นที่ของตนเองเพื่อส่งเสียงเรียกร้อง ทั้งหมดนี้ล้วนทำไปเพื่อปกป้อง “สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี” ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สะอาดและปลอดภัย การสร้างวนเกษตรจึงเป็นการกระทำเชิงรุกเพื่อทวงคืนและสร้างหลักประกันให้สิทธิในการมีสุขภาวะที่ดีด้วยมือของพวกเขา
สิทธิตามรัฐธรรมนูญเหล่านี้จึงเปรียบเสมือน “โล่และดาบ” ของชุมชน โดยเป็น “โล่” เพื่อป้องกันตนเองจากโครงการที่อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิต ขณะเดียวกันก็เป็น “ดาบ” ที่ใช้ในเชิงรุกเพื่อสร้างสรรค์อนาคตของตนเอง เรื่องราวของหนองไม้แก่นคือตัวอย่างอันทรงพลังของการใช้สิทธิในฐานะ “ดาบ” พวกเขาไม่ได้เพียงแค่ต่อต้านภัยคุกคาม แต่กำลังใช้สิทธิที่กฎหมายมอบให้เพื่อ “สร้าง” โลกที่ต้องการเห็นขึ้นมาใหม่ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จากการเคลื่อนไหวแบบ “ต่อต้าน” ไปสู่การ “สร้างสรรค์” ที่มีกฎหมายรองรับ
หนทางข้างหน้า: ‘วนเกษตร’ แบบจำลองเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
เมื่อเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและนโยบายที่ไม่ตอบโจทย์ ชุมชนหนองไม้แก่นไม่ได้หยุดอยู่แค่การวิพากษ์วิจารณ์ แต่ได้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อสร้าง “ทางรอด” ที่จับต้องได้ “วนเกษตรหนองไม้แก่นโมเดล” คือคำตอบที่พวกเขาค้นพบ เป็นการผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับความเข้าใจในระบบนิเวศ เพื่อสร้างระบบการเกษตรที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงผลผลิต แต่ยังฟื้นฟูผืนดิน สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ และเสริมสร้างความมั่นคงให้กับชุมชนในระยะยาว
หัวใจของวนเกษตรคือการเลียนแบบโครงสร้างและพลวัตของระบบนิเวศป่าไม้ โดยการปลูกพืชหลากหลายชนิด ทั้งไม้ใหญ่ ไม้ผล พืชไร่ และสมุนไพร ผสมผสานกันในพื้นที่เดียวกัน นายวินัย สุวรรณไตร ประธานโรงเรียนวนเกษตรธนาคารต้นไม้บ้านหลุมมะขาม อธิบายหลักการที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังนี้ว่า เป็นหนทางที่ “คนบ้านนอกอย่างเรา” สามารถช่วยทำให้โลกเย็นลงได้ด้วยการ “ปลูกต้นไม้ ทำไร่ ทำสวน” แนวคิดนี้เน้นการพึ่งพาตนเอง ลดการใช้ปัจจัยการผลิตจากภายนอก เช่น ปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลง และหันมาใช้ประโยชน์จากธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การทำปุ๋ยหมักจากเศษวัสดุในแปลง และการสร้าง “ธนาคารน้ำใต้ดิน” เพื่อกักเก็บน้ำฝนไว้ใช้ในหน้าแล้ง
ยิ่งไปกว่านั้น วนเกษตรยังเป็นปรัชญาการใช้ชีวิตที่ส่งเสริมการลดการบริโภคและการสร้างขยะ โดยเฉพาะพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง มันคือการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งสอดรับกับมุมมองของตัวแทนเยาวชนที่มองว่านี่คือวิวัฒนาการที่จำเป็นของการเกษตรเพื่อส่งต่ออนาคตที่ดีให้กับคนรุ่นหลัง


เมื่อภูมิปัญญาท้องถิ่นบรรจบกับองค์ความรู้สากล
สิ่งที่ทำให้วนเกษตรหนองไม้แก่นโมเดลทรงพลังยิ่งขึ้น คือการที่ภูมิปัญญาท้องถิ่นเหล่านี้สอดคล้องอย่างน่าทึ่งกับแนวทางการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล งานศึกษาเรื่อง Reduction of deforestation by agroforestry in high carbon stock forests of Southeast Asia ได้ระบุว่า “เกษตรป่าไม้” (Agroforestry) ซึ่งเป็นคำศัพท์ทางวิชาการของวนเกษตร คือหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่สุดในการสร้างความยั่งยืน ระบบวนเกษตรได้รับการยอมรับว่าสามารถช่วยลดการตัดไม้ทำลายป่า เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ ปรับปรุงคุณภาพดิน และเพิ่มความหลากหลายของรายได้ในภาคการเกษตร
ประโยชน์ของวนเกษตรในหลายมิติได้รับการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ ทั้งในด้านการลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Mitigation) โดยทำหน้าที่เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ และด้านการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Adaptation) โดยสร้างระบบนิเวศที่ทนทานต่อภาวะแห้งแล้งและความร้อนได้ดีกว่าไร่พืชเชิงเดี่ยว นอกจากนี้ยังช่วยสร้างความมั่นคงทางชีวภาพและอาชีพ (Biodiversity and Livelihood Resilience) ผ่านผลผลิตที่หลากหลาย ทำให้เกษตรกรไม่ต้องพึ่งพิงรายได้จากพืชเพียงชนิดเดียว
จะเห็นได้ว่าวนเกษตรหนองไม้แก่นโมเดลนั้นเหนือกว่าระบบเกษตรเชิงเดี่ยวแบบดั้งเดิมในทุกมิติ เริ่มจากด้านนิเวศวิทยา ที่ซึ่งเกษตรเชิงเดี่ยวก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพต่ำ ดินเสื่อมโทรม และเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอน ในขณะที่วนเกษตรช่วยฟื้นฟูผืนดิน สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ และทำหน้าที่เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอน ขณะเดียวกันการทำวนเกษตรเพิ่มผลตอบแทนทางเศรษฐกิจเพราะช่วยลดต้นทุนปัจจัยการผลิตจากภายนอก สร้างแหล่งรายได้ที่หลากหลาย และมีความยืดหยุ่นต่อความผันผวนของตลาดและสภาพอากาศสูงกว่าเกษตรเชิงเดี่ยวที่ต้องพึ่งพิงรายได้จากพืชเพียงชนิดเดียว ในมิติทางสังคม วนเกษตรส่งเสริมให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองและกำหนดทิศทางของตนได้ ทั้งยังเป็นการอนุรักษ์และต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ตรงข้ามกับเกษตรเชิงเดี่ยวที่มักทำให้เกษตรกรต้องพึ่งพิงบริษัทภายนอกและนโยบายจากส่วนกลาง และท้ายที่สุด ในด้านธรรมาภิบาล วนเกษตรคือภาพสะท้อนของการบริหารจัดการเชิงนโยบายจากล่างขึ้นบน (Bottom-up policy) ซึ่งเป็นการใช้สิทธิชุมชนโดยตรง แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากแนวทางนโยบายบนลงล่าง (Top-down policy) ที่มักเพิกเฉยต่อสิทธิชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่น
วนเกษตรจึงไม่ใช่แค่เทคนิคการเกษตร เป็นภาพสะท้อนของการปกครองตนเองด้านสิ่งแวดล้อมในระดับรากหญ้าที่ทรงพลังและเป็นจริง
จากหนึ่งแปลง สู่การเคลื่อนไหวทั่วประเทศ
เรื่องราวของ “วนเกษตรหนองไม้แก่นโมเดล” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าของชุมชนแห่งหนึ่ง แต่คือบทพิสูจน์และเป็นแสงสว่างนำทางสำหรับประเทศไทยในการเผชิญหน้ากับวิกฤตการณ์ที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกัน ทั้งการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความไม่มั่นคงทางอาหาร การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และช่องว่างของธรรมาภิบาลด้านสิ่งแวดล้อม ทางรอดที่ยั่งยืนที่สุดไม่ได้อยู่ที่ปลายทางของนโยบายจากบนลงล่าง แต่กำลังเติบโตขึ้นจากผืนดิน จากพลังของชุมชนที่ลุกขึ้นมาใช้สิทธิของตนเองเพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่า
นโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่มีประสิทธิภาพสูงสุด อาจไม่ใช่เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยหรือเม็ดเงินมหาศาล แต่คือ “การเคารพและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน” อย่างแท้จริง เพราะนั่นคือการปลดปล่อยศักยภาพและภูมิปัญญาของคนนับล้านที่ผูกพันและพร้อมจะดูแลรักษาพื้นที่และถิ่นที่อยู่ของตนเอง นี่คือหนทางที่นำไปสู่การแก้ปัญหาที่บูรณาการ ทั้งวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ความไม่มั่นคงทางอาหาร และการขาดดุลทางประชาธิปไตยในการจัดการสิ่งแวดล้อม โดยมี “คน” เป็นศูนย์กลางของการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนและเป็นธรรม
ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก บางปะกง สายน้ำแห่งชีวิต