All articles
-
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าชะลอไม่ให้โลกร้อนเกิน 1.5 °C
ภาวะโลกเดือดที่เรากำลังเจอทำให้ปัจจุบันมีอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกสูงขึ้น 1.3องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม (เทียบกับอุณหภูมิในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1805 กับ 1900 ) และระดับน้ำทะเลทั่วโลกก็สูงขึ้น 20 เซนติเมตร
-
“ปีนรก” : ความเห็นจากจากกรีนพีซเกี่ยวกับปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นปีแรกที่เกินขีดจำกัดโลกเดือด 1.5°C
จากการตอบสนองต่อรายงานสรุปสภาพภูมิอากาศโลกปี 2567 โดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO), Copernicus, Met Office, NASA และองค์กรติดตามสภาพภูมิอากาศอื่น ๆ ซึ่งพบว่ามีสภาพอากาศสุดขั้วแบบใหม่เกิดขึ้นในปี 2567 รายงานสรุปว่าปีดังกล่าวเป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์การบันทึก
-
“โลกเย็นที่เป็นธรรม” 5 ปีแห่งการต่อสู้ของคนอมก๋อย สู่ความท้าทายในวิกฤตโลกเดือด
โอ้ ที๊ง แฌ แซ ที๊ง เจ่ ที๊ง เจ่ ทเคแกล้ กแบแฌแซอ้ะ-ดื่มน้ำให้รักษาน้ำ ใช้ป่าให้รักษาป่า” ส่วนหนึ่งของถ้อยแถลงการณ์หมู่บ้านกะเบอะดินได้ตอกย้ำถึงวิถีชนพื้นเมืองชาติพันธุ์ที่อยู่ดูแลป่า และส่งเสียงถึงรัฐบาลที่เอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทมากกว่าปกป้องชุมชนท้องถิ่น
-
แถลงการณ์ “ทรัพยากรในโลกมีเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงคนทั้งโลก แต่ไม่มีเพียงพอที่จะหล่อเลี้ยงคนที่มีความโลภเพียงคนเดียว”
เนื่องในโอกาสครบรอบ 5 ปี พวกเราชุมชนบ้านกะเบอะดิน ตำบลอมก๋อย อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ และชุมชนเส้นทางขนส่งแร่ ร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคประชาชนทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ ได้ร่วมกันต่อสู้คัดค้านโครงการเหมืองแร่ถ่านหิน ซึ่ง หลังจากชุมชนได้ฟ้องศาลปกครองเชียงใหม่ขอเพิกถอนรายงาน EIA ไปเมื่อสองปีที่แล้ว ปัจจุบันศาลปกครองได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ไม่ให้นำรายงาน EIA ไปออกประทานบัตรได้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาหรือมีคำสั่งเป็นอย่างอื่นนั้น
-
ความท้ายทายในวิกฤตโลกเดือด : ครบรอบ 5 ปี การต่อสู้คัดค้านโครงการเหมืองถ่านหินอมก๋อย
กลุ่มเครือข่ายเฝ้าระวังอมก๋อย จัดงาน “โลกเย็นที่เป็นธรรม: 5 ปีแห่งการต่อสู้ของคนอมก๋อย สู่ความท้าทายในวิกฤตโลกเดือด” ที่คริสตจักรกะเบอะดิน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ นำเสนอความท้าทายที่ชุมชนชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นวาทกรรมตีตราในวิถีชีวิตและการโยนความผิดให้ชนเผ่าพื้นเมืองว่าเป็นผู้ก่อวิกฤตโลกเดือด
-
เมื่อน้ำท่วมภาคใต้ของไทยไม่ใช่เรื่องปกติอีกต่อไป
เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ทางภาคเหนือตอนบนของไทยผ่านไปได้เพียงไม่กี่เดือน ประเทศไทยก็ได้เผชิญอุทกภัยครั้งใหญ่อีกครั้ง คราวนี้ปักหมุดอยู่ที่จังหวัดชายแดนใต้ของไทย
-
ทำไมการชดเชยคาร์บอน (Offsets) และการลดคาร์บอนแบบอินเซ็ต (Insets) ถึงไม่ใช่ทางออกของวิกฤตโลกเดือด
นี่คือกลอุบายและกลยุทธ์นานัปการที่บริษัทอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นมรายใหญ่ใช้ฟอกเขียวความพยายามที่จะบรรเทาผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศของตน จะเบนเข็มไปจากลดการผลิตและการบริโภคปศุสัตว์ที่เกินขนาด ซึ่งจะเป็นวิธีการแก้วิกฤตโลกเดือดที่อุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นผู้ก่อได้ตั้งแต่ต้นทาง
-
เพราะเหตุใดลดมีเทนจาก Food Waste จึงไม่เท่าลดการผลิตล้นเกินของอุตสาหกรรมอาหารและเนื้อสัตว์
การทำปศุสัตว์เป็นแหล่งผลิตก๊าซมีเทนจากมนุษย์รายใหญ่ที่สุด ซึ่งก๊าซมีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพในการทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นเร็วในระยะเวลาสั้น การเพิ่มขึ้นของการผลิตปศุสัตว์เป็นปัจจัยสำคัญอันดับสองที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระบบอาหารโลก อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของประชากรอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา
-
COP29 จบลงด้วยเป้าหมายการเงินเพื่อสภาพภูมิอากาศที่อ่อนแอ
การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 (COP29) สิ้นสุดลงด้วยข้อตกลงเกี่ยวกับการกำหนดเป้าหมายทางการเงินในกองทุนด้านสภาพภูมิอากาศที่ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างต่ำ
-
ผลการวิเคราะห์ชี้ การเก็บภาษีจากบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ จะช่วยเพิ่มเงินทุนให้กองทุนเพื่อการชดเชยค่าความสูญเสียและความเสียหายจากวิฤตสภาพภูมิอากาศได้มากกว่า 2,000%
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลของกรีนพีซ สากล และ Stamp Out Poverty แสดงให้เห็นว่าการเก็บภาษีเพียงเล็กน้อยจากบริษัทขุดเจาะน้ำมันและก๊าซรายใหญ่สุดเพียง 7 แห่ง สามารถทำให้กองทุนเพื่อการชดเชยค่าความสูญเสียและความเสียหายขององค์การสหประชาชาติเติบโตขึ้นมากว่า 2,000 %