กรุงเทพฯ, 7 มิถุนายน 2568 –กรีนพีซ ประเทศไทย นำเสนอชุดข้อมูล “ฉะเชิงเทรา: โอกาสและศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์บน 300,000 หลังคาเรือน”[1] ซึ่งศึกษาศักยภาพของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับครัวเรือน พร้อมข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนที่เป็นธรรม ยั่งยืน และเข้าถึงได้สำหรับทุกคน
ชุดข้อมูลฉบับนี้ นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับศักยภาพของการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เพื่อผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในระดับครัวเรือน โดยชี้ให้เห็นว่า หากมีการสนับสนุนที่เหมาะสม จังหวัดฉะเชิงเทรามีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์มากถึง 1,524 เมกะวัตต์ โดยเฉพาะในกรณีที่มีการติดตั้งระบบกักเก็บพลังงาน (Energy Storage System: ESS) ร่วมด้วย จังหวัดจะสามารถพึ่งพาการผลิตไฟฟ้าภายในพื้นที่ได้มากกว่าร้อยละ 50 ภายในปี พ.ศ. 2573 และมีแนวโน้มบรรลุการพึ่งพาตนเองด้านพลังงานได้อย่างสมบูรณ์ภายในปี พ.ศ. 2581
อย่างไรก็ตาม ข้อจำกัดด้านโครงสร้างทางพลังงานที่ยังคงรวมศูนย์ กลไกทางการเงินที่ไม่เอื้อต่อประชาชน และการขาดนโยบายสนับสนุนที่ชัดเจน ยังคงเป็นอุปสรรคสำคัญที่ต้องเร่งขจัด หากประเทศไทยต้องการก้าวสู่อนาคตพลังงานที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง
อัญชลี พิพัฒนวัฒนากุล ผู้จัดการงานรณรงค์กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า
“พลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาไม่ใช่แค่ทางเลือกด้านเทคโนโลยี แต่คือเครื่องมือสำคัญในการคืนสิทธิในการผลิตพลังงานให้กับประชาชน และสร้างระบบพลังงานหมุนเวียนที่ยั่งยืนและเป็นธรรม รัฐต้องยุติการเอื้อประโยชน์ให้ทุนใหญ่ผ่านโครงสร้างระบบพลังงานแบบรวมศูนย์ และหันมาออกแบบนโยบายที่กระจายอำนาจอย่างแท้จริง ให้ประชาชนสามารถเป็นเจ้าของพลังงานของตนได้จริง”
ในงานเดียวกัน กรีนพีซยังจัดเวทีเสวนาวิชาการในหัวข้อ “พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นธรรม: ความหวังของเมือง กับโจทย์นโยบายรัฐที่ยังไม่เปลี่ยน” เพื่อการแลกเปลี่ยนมุมมองจากทั้งภาคประชาชน และนักวิชาการ ถึงโอกาสและอุปสรรคในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนที่ยั่งยืนในระดับเมือง ภายใต้บริบทของนโยบายภาครัฐที่ยังไม่เอื้อต่อความเป็นธรรมและการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
รศ.ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ ศูนย์วิจัยและสนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDG Move) กล่าวว่า
“ข้อมูลจากรายงาน Thailand:Turning Point a Net-Zero Power Grid ที่เผยแพร่โดย BloombergNEF ชี้ชัดว่าประเทศไทยมีต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะแสงอาทิตย์และลม ต่ำที่สุดกลุ่มหนึ่งในโลก และมีศักยภาพสูงในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบการผลิตไฟฟ้าแบบคาร์บอนต่ำ ในต้นทุนที่สามารถแข่งขันได้เมื่อเทียบกับแหล่งพลังงานแบบเดิม
แต่กระบวนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานกลับชะงักอยู่กับโครงสร้างของระบบพลังงานแบบรวมศูนย์ ทั้งในด้านการวางแผน ระบบสายส่ง และกลไกการกำกับดูแล กลับกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ ความท้าทายหลักในวันนี้จึงไม่ใช่การเข้าถึงเทคโนโลยี แต่คือการออกแบบนโยบายและกลไกที่ส่งเสริมการกระจายอำนาจ กระจายความเสี่ยง และกระจายประโยชน์อย่างเป็นธรรม โดยเฉพาะในระดับชุมชน ที่สามารถมีบทบาทมากกว่าการเป็นเพียงผู้บริโภค”
กรีนพีซ ประเทศไทย เรียกให้ภาครัฐและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เร่งปฏิรูปนโยบายพลังงานและกำหนดยุทธศาสตร์การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง โดยเริ่มจากการยกเลิกข้อจำกัดเชิงโครงสร้างที่กีดกันการมีส่วนร่วมของประชาชน สร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจสำหรับครัวเรือนและชุมชนที่ต้องการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน และ ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อระบบพลังงาานแบบกระจายศูนย์ เช่น ระบบกักเก็บพลังงานและสมาร์ตกริด เพราะการกระจายอำนาจด้านพลังงาน นี่ไม่ใช่เพียงการลดคาร์บอนที่นำไปสู่ผลกระทบด้านวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่คือรากฐานของความเป็นธรรม ความมั่นคง และความยั่งยืนของประเทศในระยะยาว
#JustEnergyForAll #FossilGas
หมายเหตุ
[1] ชุดข้อมูล “ฉะเชิงเทรา: โอกาสและศักยภาพพลังงานแสงอาทิตย์บน 300,000 หลังคาเรือน”