
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 รายงานเลขาธิการสหประชาชาติ A/HRC/59/42 ถูกเผยแพร่ในโอกาสการประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ สมัยประชุมครั้งที่ 59 ระหว่างวันที่ 16 มิถุนายน ถึง11 กรกฎาคม 2568 ภายใต้ระเบียบวาระที่ 3 ว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในทุกมิติ ทั้งสิทธิพลเมือง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิทธิในการพัฒนา
รายงานฉบับนี้จัดทำโดยผู้รายงานพิเศษโดย Elisa Morgera ที่ได้เน้นย้ำถึงพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของรัฐ และความรับผิดชอบของภาคธุรกิจ ในการเร่งยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลและการลงทุนในเชื้อเพลิงฟอสซิลภายในทศวรรษนี้ รายงานยังชี้ให้เห็นว่าผลกระทบจากวงจรชีวิตของเชื้อเพลิงฟอสซิลนั้นเป็นวัฏจักรข้ามรุ่นที่ส่งต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง พร้อมกับเปิดเผยการขัดขวางการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศของกลุ่มผู้ถือครองอำนาจทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจมากว่า 60 ปี จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเร่งด่วนในระบบเศรษฐกิจโดยรวม โดยกระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้ต้องเป็นไปอย่างยุติธรรม มีประสิทธิภาพ และยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน พร้อมการเปลี่ยนแปลงอย่างจริงจังเพื่อปกป้องภูมิอากาศ ธรรมชาติ แหล่งน้ำ และอาหาร ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของชีวิตและสุขภาพของผู้คนทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพราะวิกฤติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อสิทธิมนุษยชนและความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่เปราะบาง เช่น ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ ชุมชนชายฝั่ง และประเทศหมู่เกาะขนาดเล็ก
การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ยังคงเชื่อกันว่าเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลก ส่งผลให้เกิดก๊าซเรือนกระจกที่เร่งเร้าภาวะโลกเดือดและก่อมลพิษในสิ่งแวดล้อมหลากหลายรูปแบบ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำลายระบบนิเวศแต่ยังสร้างความเสียหายทางสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมต่อผู้คนทั่วโลกอีกด้วย
ผลกระทบของเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ซับซ้อนและขยายวงกว้าง
ผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากวงจรชีวิตของเชื้อเพลิงฟอสซิลนั้นมีลักษณะเชื่อมโยงและซับซ้อนอย่างยิ่ง โดยสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศระดับโลก มลพิษจากสารพิษ การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ มลพิษจากพลาสติกทั่วโลก รวมถึงผลกระทบจากการผลิตปิโตรเคมีที่เป็นอันตราย ผลกระทบเหล่านี้ครอบคลุมหลากหลายภาคส่วน (Intersectoral) และแสดงถึงความจำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องจัดการกับเชื้อเพลิงฟอสซิลในภาพรวมที่กว้างกว่าเพียงแค่ภาคพลังงาน โดยต้องดำเนินการผ่านการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบโดยรวม (System-wide transformation)

ขนาดและความรุนแรงของผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนเหล่านี้ได้รับการประเมินในบริบทของหลายปัจจัยสำคัญ ได้แก่
- แนวปฏิบัติที่เลือกปฏิบัติ (Discrimination) และส่งเสริมการขยายกิจการเชื้อเพลิงฟอสซิล
- ความรู้ของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีมายาวนานหลายทศวรรษเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่รุนแรงและสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า
- ความพยายามอย่างเป็นระบบในการปิดบังข้อมูลสำคัญเหล่านี้จากสาธารณะ ทั้งในรูปแบบการครอบงำพื้นที่ทางนโยบายสาธารณะ และการโจมตีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการใช้การดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะ (Strategic Lawsuits Against Public Participation: SLAPPs)
ในขณะเดียวกัน บริษัทในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลกลับได้รับผลประโยชน์มหาศาล ทั้งในรูปของกำไรจำนวนมาก เงินอุดหนุนที่สูง การหลีกเลี่ยงภาษี และการคุ้มครองที่ไม่เหมาะสมภายใต้กฎหมายการลงทุนระหว่างประเทศ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีการลดความเลื่อมล้ำและการผูกขาดกับกลุ่มนายทุน หรือแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด
สาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเติบโตและทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในปัจจุบันไม่ได้เป็นผลมาจากเพียงการดำเนินกิจกรรมของมนุษย์ในยุคสมัยใหม่เท่านั้น หากแต่เป็นผลสะสมของการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างต่อเนื่องตลอดประวัติศาสตร์อุตสาหกรรม โดยร้อยละ 81–91 ของปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั้งหมดที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ล้วนมีต้นทางจากการใช้พลังงานจากฟอสซิล ซึ่งในปี 2566 ระดับการปล่อยดังกล่าวอยู่ในจุดที่สูงที่สุดในรอบสองล้านปี

ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติหรือก๊าซฟอสซิลยังคงเป็นตัวการสำคัญ โดยมีสัดส่วนการปล่อยคาร์บอนเท่ากับร้อยละ 41 32 และ 23 ตามลำดับ นอกจากนี้ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะจากการเผาไหม้เท่านั้น แต่ยังเกิดจากกระบวนการอื่น ๆ ตลอดวงจรชีวิตของเชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น การสกัด การขนส่ง และการจัดการของเสีย โดยเฉพาะการปลดปล่อยก๊าซมีเทนในระหว่างวงจรชีวิตของเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่มีศักยภาพรุนแรงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ มีแหล่งที่มาหลักจากการผลิตและกระจายเชื้อเพลิงฟอสซิล คิดเป็นร้อยละ 35 ของการปล่อยมีเทนทั้งหมดทั่วโลก และเป็นสาเหตุของอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 30 ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานฟอสซิลที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน หากยังคงใช้งานต่อไปจนหมดอายุการใช้งาน จะปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกินขีดจำกัดที่ยังคงมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon budget) ที่สามารถปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศได้
แม้จะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และความเสียหายที่เห็นได้ชัด การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลกลับยังคงสูง โดยในปี 2566 เชื้อเพลิงฟอสซิลคิดเป็นร้อยละ 80 ของพลังงานปฐมภูมิทั่วโลก และอุตสาหกรรมยังคาดการณ์ว่าจะเพิ่มการผลิตอีกกว่า 110% ภายในปี 2573 จากระดับที่สอดคล้องกับเป้าหมายการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่เกิน 1.5°C
ผลกระทบจากวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ลุกลามให้เกิดวิกฤติสิทธิมนุษยชนทุกด้านทั้งสิทธิในการมีชีวิต การเข้าถึงทรัพยากรและการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย ตลอดจนการกำหนดเจตจำนงตนเอง สิทธิในการเข้าถึงสุขภาพ อาหาร น้ำ การศึกษา ที่อยู่อาศัย และการทำงานที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ และประชาชนในรัฐหมู่เกาะขนาดเล็ก ที่มีความเสี่ยงจะได้รับผลกระทบในระดับที่ไม่อาจย้อนคืนได้
องค์การสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศชี้ว่า ความเสี่ยงเหล่านี้มีความรุนแรงเพียงพอที่จะถือว่าสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ ได้กลายเป็น “พันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ” ที่กำหนดให้รัฐต้องเร่งยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ความหลากหลายทางชีวภาพ ป่า น้ำจืด และมหาสมุทร ซึ่งเป็นรากฐานของระบบนิเวศที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์

ทั้งนี้ ข้อค้นพบจากวิทยาศาสตร์ร่วมสมัยสนับสนุนอย่างชัดเจนว่า:
- อย่างน้อย 60% ของแหล่งน้ำมันและก๊าซฟอสซิล และ 90% ของถ่านหินทั่วโลก ต้องถูกทิ้งไว้โดยไม่สกัดมาใช้
- การจัดหาเชื้อเพลิงฟอสซิลต้องลดลง 55% ภายในปี 2578 (เมื่อเทียบกับปี 2566)
- การใช้ถ่านหินต้องลดลงถึง 100% ภายในปี 2593, น้ำมัน 90%, และก๊าซฟอสซิล 85%
- ห้ามสร้างโรงไฟฟ้าพลังฟอสซิลแห่งใหม่ และต้องยุติการเผาหรือปล่อยก๊าซที่ไม่จำเป็นภายในปี 2573
- โครงสร้างพื้นฐานเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมดควรถูกปลดระวางก่อนหมดอายุการใช้งานทางเทคนิค
แนวทางเหล่านี้สอดคล้องกับเสียงของชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ทั่วโลกที่เรียกร้องให้ยุติการสำรวจและพัฒนาเชื้อเพลิงฟอสซิลทุกรูปแบบ ภายในปี 2573 เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายต่อสิทธิมนุษยชนระหว่างรุ่น ซึ่งจะส่งผลต่อทั้งคนรุ่นปัจจุบันและอนาคตไปอีกนับพันปี
มองปัญหาสภาพภูมิอากาศให้ครอบคลุมกว่าการลดคาร์บอนเพียงอย่างเดียว
แม้การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเป็นองค์ประกอบสำคัญของการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ แต่หากเราจำกัดมุมมองไว้เพียง “การลดคาร์บอน” ก็จะเป็นการมองปัญหาอย่างแคบเกินไป และเสี่ยงต่อการละเลยผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่กว้างขวางและลึกซึ้งกว่ามาก

ทุกขั้นตอนในวงจรชีวิตของเชื้อเพลิงฟอสซิล ตั้งแต่การสำรวจ ขุดเจาะ การขนส่ง การแปรรูป ไปจนถึงการกำจัดของเสีย ล้วนมีศักยภาพในการสร้างอันตรายอย่างแพร่หลายและรุนแรงต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในชีวิต สุขภาพ มาตรฐานการครองชีพที่เหมาะสม สิทธิในวัฒนธรรม และสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ โดยความเสียหายนี้เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ สะสมข้ามรุ่น และไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนเพียงอย่างเดียว
การดำเนินงานของอุตสาหกรรมฟอสซิลก่อให้เกิดมลพิษหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นมลพิษทางเสียง แสง สารพิษ สารกัมมันตรังสี รวมถึงการสูญเสียน้ำและความหลากหลายทางชีวภาพ ที่สำคัญคือ กิจกรรมเหล่านี้มักเกิดขึ้นใน “เขตเสียสละ” (Sacrifice zones) เพื่อแลกกับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของส่วนรวมหรือของกลุ่มทุนรายใหญ่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ชุมชนมีความเปราะบางอยู่แล้วจากความยากจน การเหยียดเชื้อชาติ หรือการถูกกีดกันทางสังคม ชาวบ้านในพื้นที่เหล่านี้มักต้องเผชิญกับโรคเรื้อรัง เช่น โรคในระบบทางเดินหายใจ โรคหัวใจ และมะเร็ง โดยที่แทบไม่มีโอกาสปกป้องสิทธิของตนเอง ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่กดทับอัตลักษ์ทับซ้อน (Intersectionality) อย่างเช่น ชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ คนเชื้อสายแอฟริกัน เกษตรกรรายย่อย และผู้พึ่งพาภูมิปัญญาท้องถิ่นต้องสูญเสียที่ดิน วิถีชีวิต และวัฒนธรรมจากการรุกรานของโครงการเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยที่มักไม่ได้รับการชดเชยอย่างเป็นธรรม ทั้งยังต้องเผชิญกับการข่มขู่ทางกฎหมายและการใช้ความรุนแรง

แม้หลังการยุติการใช้โครงสร้างพื้นฐานด้านฟอสซิล ความเสียหายยังคงอยู่ในรูปของสารพิษตกค้างในดินและน้ำ เป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูระบบนิเวศ การเกษตร และแหล่งน้ำเพื่อการบริโภคของชุมชนไปอีกหลายชั่วอายุคน
ความเสี่ยงยังเพิ่มขึ้นจาก:
- การดำเนินงานนอกชายฝั่ง ที่ส่งผลต่อการประมงของชุมชนชายฝั่ง ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล และสิทธิในการเข้าถึงอาหารของชุมชนชายฝั่ง
- การพัฒนาแบบไม่ปกติ เช่น การสกัดทรายน้ำมัน หรือการทำแฟรคกิง (fracking) ที่เกี่ยวข้องกับโรคในระบบหายใจ หัวใจ ระบบสืบพันธุ์ รวมถึงการเพิ่มความเสี่ยงต่อแผ่นดินไหว และปัญหาความมั่นคงด้านน้ำ
- การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคอุตสาหกรรมและครัวเรือน ที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศข้ามพรมแดน มีผลต่อสุขภาพอย่างกว้างขวางทั่วโลก โดยเฉพาะผู้หญิง เด็ก และประชากรในประเทศรายได้ต่ำ โดยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรถึงกว่า 8 ล้านคนต่อปี
- อุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับฟอสซิล เช่น การรั่วไหลของน้ำมันหรือเหตุระเบิด ซึ่งทิ้งสารพิษไว้ในระบบนิเวศทางทะเลยาวนานหลายปี
- การเผาก๊าซ (flaring) ที่ก่อให้เกิดความเสียหายด้านสุขภาพคิดเป็นมูลค่ากว่า 7.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
- การปล่อยสารปรอทและธาตุอาหารลงสู่ทะเล ที่กระทบห่วงโซ่อาหารทางทะเล และสุขภาพของผู้บริโภคอาหารทะเล โดยเฉพาะสตรีมีครรภ์และทารก
นอกจากนี้ โครงสร้างพื้นฐานของฟอสซิลเองยังเสี่ยงต่อผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วมและระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งทำให้เกิดการรั่วไหลของสารเคมี การระเบิด และความเสียหายต่อทรัพย์สิน ทั้งหมดนี้เพิ่มภาระทางสุขภาพ เศรษฐกิจ และภาษีของประชาชนโดยตรง ท้ายที่สุดแล้ว ระบบเศรษฐกิจที่อิงเชื้อเพลิงฟอสซิลยังเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางอาวุธ โดยภาคการทหารมีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 5.5% ของโลก และเป็นตัวการสำคัญของมลพิษ การทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ และภาวะขาดแคลนอาหารในระดับชุมชน
การแก้ไขวิกฤตภูมิอากาศจึงไม่อาจหยุดอยู่เพียง “การลดคาร์บอน” แต่จำเป็นต้อง มองทั้งระบบของการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลตลอดวงจรชีวิตของมัน และจัดการกับต้นเหตุของการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทุกมิติอย่างครอบคลุมและรอบด้าน
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจตกอยู่กับใคร?

แม้การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานจะเป็นภารกิจของทั้งโลก แต่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจากระบบเชื้อเพลิงฟอสซิลยังคงตกอยู่ในมือของบริษัทขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ราย โดยมากกว่า 70% ของการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในประวัติศาสตร์เกิดจากบริษัทและรัฐเพียง 78 แห่ง ขณะที่ในปี 2573 เพียงปีเดียว รายได้รวมของอุตสาหกรรมน้ำมัน ก๊าซฟอสซิล และถ่านหินทะลุ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐราว 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งกลับกลายเป็นภาระภาษีของประชาชน โดยเฉพาะในประเทศรายได้ต่ำ การหลีกเลี่ยงภาษี ความลับทางการเงิน และการได้รับสิทธิพิเศษผ่านข้อตกลงการลงทุนระหว่างประเทศ ทำให้บรรษัทเหล่านี้สามารถฟ้องร้องรัฐเรียกค่าชดเชยจากมาตรการด้านสภาพภูมิอากาศได้อย่างไม่เป็นธรรม ส่งผลให้รัฐต้องลังเลในการดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม และทำให้เงินสาธารณะจำนวนมากถูกเบี่ยงเบนจากการลงทุนในพลังงานสะอาดและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
กลยุทธ์ถ่วงเวลา: ตำราลับที่ต้องไม่ถูกยอมรับของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล

ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา ภาคอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลได้วางรากฐานของ “แผนสกัดกั้น” หรือ playbook of climate obstruction ซึ่งประกอบด้วยยุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนและต่อเนื่องในการบิดเบือนข้อมูล ปกปิดความจริง และขัดขวางการดำเนินนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ
ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 บริษัทน้ำมันและก๊าซฟอสซิลมีข้อมูลภายในชัดเจนเกี่ยวกับผลกระทบร้ายแรงของก๊าซเรือนกระจกต่อภูมิอากาศโลก แต่กลับเลือกที่จะเพิกเฉยและเดินหน้าหาผลกำไรอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสนับสนุนงานวิจัยที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของอุตสาหกรรม ดิสเครดิตงานนักวิทยาศาสตร์อิสระ ข่มขู่นักวิทยาศาสตร์ และสร้างความสับสนในที่สาธารณะอันเกี่ยวกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์
ความพยายามนี้ยังขยายเข้าสู่เวทีนโยบาย โดยผู้แทนผลประโยชน์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลเข้าไปมีบทบาทในที่ประชุมระดับนานาชาติ เช่น การประชุม COP ภายใต้ UNFCCC และมีอิทธิพลต่อกฎหมายและนโยบายภายในประเทศ โดยเฉพาะผ่านการล็อบบี้เพื่อจำกัดการออกกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อม การผลักดัน “ทางออกผิด ๆ ที่เป็นกลลวง (False Solution)” เช่น กลไกคาร์บอนเครดิต หรือเทคโนโลยีดักจับกักเก็บคาร์บอน ที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงในการถูกผูกมัดไว้กับระบบพลังงานฟอสซิลต่อไป
หนึ่งในเครื่องมือสำคัญของแผนสกัดนี้คือ การบิดเบือนข้อมูลหรือการฟอกเขียวในการโฆษณา บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลได้ใช้สื่อและแพลตฟอร์มดิจิทัลในการเผยแพร่โฆษณาที่บิดเบือนข้อมูลและเพิ่มความเสี่ยงต่อสิ่งแวดล้อม และยกย่องบทบาทของฟอสซิลใน “ความเจริญ” ของมนุษย์ โดยร่วมมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเพื่อแบ่งปันรายได้จากโฆษณา รวมถึงการใช้ปัญญาประดิษฐ์ Artificial Intelligence (AI) สร้างเนื้อหาหลอกลวง นี่ไม่ใช่เพียงการโฆษณาเท่านั้น แต่เป็นการออกแบบการรับรู้ของสังคมให้เห็นว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นความมั่นคงที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ในขณะเดียวกัน ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์อุตสาหกรรมกลับถูกโจมตีด้วยคดี SLAPP หรือคดีเชิงยุทธศาสตร์ที่มุ่งระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะ การฟ้องคดีปิดปากนักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านสิ่งแวดล้อม นักข่าว นักวิชาการ และประชาชนทั่วไปที่ออกมาพูดเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ ถือเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานและทำลายการมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย
“กลยุทธ์ถ่วงเวลา” เหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพียงการปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุน แต่เป็นอุปสรรคเชิงโครงสร้างต่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในทุกมิติ ทั้งสิทธิในการมีชีวิต สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร สิทธิในการมีส่วนร่วมกำหนดนโยบาย หรือกำหนดเจตจำนงของตน และสิทธิของคนรุ่นใหม่ในการอยู่อาศัยในโลกที่น่าอยู่ในอนาคต
ความรับผิดชอบของบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลและบทบาทของภาคส่วนอื่นในการปฏิรูปเศรษฐกิจให้หลุดพ้นจากเชื้อเพลิงฟอสซิล

เพื่อให้การลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลดำเนินไปอย่างยุติธรรม มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบชัดเจนและดำเนินมาตรการสำคัญ ดังนี้ บริษัทเหล่านี้ควรเร่งจัดทำแผนปิดกิจการฟอสซิลที่มีอยู่ให้เสร็จสิ้นภายในปี 2573 โดยต้องเปิดโอกาสให้แรงงานและประชาชนที่ได้รับผลกระทบมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงในกระบวนการประเมินผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างมีส่วนร่วมตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Supply Value) ทั้งนี้เพื่อให้การเปลี่ยนผ่านเป็นธรรมและรับฟังเสียงของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ บริษัทต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายสำหรับผู้เชี่ยวชาญอิสระที่ช่วยสนับสนุนการปรึกษาหารือและประเมินผลร่วมกับแรงงานและสาธารณชน รวมถึงค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ให้แก่แรงงานผ่านโปรแกรมที่ออกแบบโดยแรงงานเอง เพื่อช่วยให้แรงงานสามารถปรับตัวเข้าสู่เศรษฐกิจที่ปราศจากเชื้อเพลิงฟอสซิลได้อย่างมั่นคง
ในกระบวนการปิดกิจการ บริษัทต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการทำความสะอาดและฟื้นฟูพื้นที่อุตสาหกรรม เพื่อป้องกันการทิ้งมรดกสารพิษที่ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางบก และทางน้ำ ตลอดจนความหลากหลายทางชีวภาพ น้ำจืด และทะเล นอกจากนี้ ต้องจัดให้มีการชดเชยทางการเงินแก่ผู้ได้รับผลกระทบตามความรุนแรงของการละเมิดสิทธิมนุษยชน พร้อมเปิดโอกาสให้เหยื่อมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายในการกำหนดแนวทางเยียวยา ตลอดจนติดตามผลและดำเนินมาตรการเยียวยาอย่างจริงจัง บริษัทไม่ควรผลักภาระความรับผิดชอบนี้ไปยังผู้อื่นผ่านการขายทรัพย์สินหรือถอนการลงทุน (divestment) เพื่อหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบดังกล่าว
ในด้านความโปร่งใส บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลต้องเปิดเผยผลกำไรและภาษีที่จ่ายอย่างครบถ้วนในทุกเขตอำนาจศาล รวมถึงข้อมูลของบริษัทลูกในห่วงโซ่อุปทาน นอกจากนี้ บริษัทต้องหลีกเลี่ยงการแทรกแซงกระบวนการกำหนดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ สิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชนทั้งในระดับชาติและระดับนานาชาติ เพื่อให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างเป็นอิสระและสอดคล้องกับเป้าหมายสาธารณะ
สำหรับรัฐวิสาหกิจ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐในการขับเคลื่อนนโยบาย พึงเป็นแบบอย่างโดยกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนในการยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ดำเนินการเยียวยาอย่างเร่งด่วนต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นและยังคงเกิดขึ้น และให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับกลไกกระบวนการยุติธรรมเพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความรับผิดชอบในระบบ
ภาคธุรกิจอื่น ๆ อย่างบริษัทโฆษณา สื่อ และเทคโนโลยีขนาดใหญ่ มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการสื่อสารและภาพลักษณ์ของเชื้อเพลิงฟอสซิล พวกเขาควรปฏิเสธการส่งเสริมการขายและการเป็นสปอนเซอร์ที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิงฟอสซิล พร้อมสนับสนุนการสร้างความตระหนักรู้สาธารณะในเรื่องประโยชน์ของวิถีชีวิตที่ปราศจากเชื้อเพลิงฟอสซิล นอกจากนี้ บริษัทเหล่านี้ควรเปิดเผยต่อสาธารณะเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนที่ได้รับจากอุตสาหกรรมฟอสซิล รวมถึงวัตถุประสงค์และระยะเวลาของความสัมพันธ์นั้น และร่วมมือกับสื่ออิสระที่นำเสนอข้อมูลด้านสภาพภูมิอากาศอย่างถูกต้องและน่าเชื่อถือ
ในส่วนของนักลงทุน ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเงินทุนเข้าสู่ภาคธุรกิจต่าง ๆ ต้องดำเนินการตรวจสอบความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยเศรษฐกิจจากเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเข้มงวด และกำหนดให้องค์กรที่ได้รับการลงทุนดำเนินการตรวจสอบในลักษณะเดียวกัน พร้อมรายงานผลต่อผู้ลงทุนเป็นประจำทุกปี นอกจากนี้ นักลงทุนต้องรับประกันว่าเจ้าของสิทธิหรือผู้ได้รับผลกระทบจะสามารถเข้าถึงกลไกเยียวยาที่มีประสิทธิภาพ สำหรับผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้นจากการตัดสินใจลงทุนที่ส่งผลให้การปลดปล่อยเชื้อเพลิงฟอสซิลล่าช้าหรือถูกขัดขวาง
ด้วยบทบาทและความรับผิดชอบที่ชัดเจนของทุกภาคส่วน ทั้งบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล รัฐวิสาหกิจ บริษัทโฆษณา เทคโนโลยี และนักลงทุน จึงเป็นรากฐานสำคัญที่จะทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ปราศจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน ยุติธรรม และคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในทุกระดับอย่างแท้จริง
ข้อเสนอแนะสำคัญสู่การเร่งเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจอย่างครอบคลุม: ก้าวให้ทันวิกฤต เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

การดำเนินการอย่างเร่งด่วน ครอบคลุม และสอดคล้องกันในการยกเลิกการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลภายในทศวรรษนี้ไม่ใช่เพียงความจำเป็นด้านสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเงื่อนไขเร่งด่วนเพื่อรับประกัน “อนาคตที่อยู่อาศัยได้” สำหรับมนุษยชาติทุกคน เป็นพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ของการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม และการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนอย่างมีประสิทธิผลภายใต้วิกฤตโลกที่ซับซ้อนในปัจจุบัน แม้ว่าการลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization) จะยังคงมีความจำเป็นสูง รวมถึงการกำจัดมลพิษที่อาจเกิดจากเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน แต่สิ่งเหล่านี้จะไม่เพียงพอหากไม่ดำเนินควบคู่ไปกับการ “การปฏิรูปเศรษฐกิจ” ออกจากระบบเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมด ไม่ใช่แค่ในภาคพลังงาน แต่รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยต้องมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน

- ยุติการผลิตและการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล: การเผาไหม้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติหรือก๊าซฟอสซิลอันเป็นสาเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การลดการใช้พลังงานเหล่านี้ต้องเป็นหัวใจของนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศ
- หลุดพ้นจาก “แนวคิดอุโมงค์คาร์บอน” (Carbon Tunnel Vision) การโฟกัสแค่เรื่องคาร์บอนแบบแคบจนละเลยสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชนและความยุติธรรม: การเน้นเฉพาะการลดคาร์บอนโดยไม่สนใจผลกระทบด้านอื่น ๆ เช่น การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และการก่อมลพิษจากสารพิษ อาจนำไปสู่ทางออกที่ไม่ยั่งยืน และส่งผลกระทบต่อกลุ่มเปราะบางอย่างรุนแรง
- หลีกเลี่ยงการผูกมัดในระบบพลังงานฟอสซิล: การลงทุนเพิ่มในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและพลาสติกคือการยืดอายุเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างแอบแฝง ซึ่งจะทำให้โอกาสในการเปลี่ยนผ่านลดลงอย่างมาก
- รับมือกับผลของ “ตำราถ่วงเวลา” (Playbook): ตลอดกว่า 60 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมฟอสซิลได้ใช้กลยุทธ์ในการปฏิเสธวิทยาศาสตร์ การฟอกเขียวในธุรกิจ ปล่อยข้อมูลที่บิดเบือน และบ่อนทำลายความพยายามด้านนโยบายสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้การดำเนินการด้านสิ่งแวดล้อมล่าช้าและไม่เพียงพอ
- พลิกโฉมระบบเศรษฐกิจเพื่อสุขภาพของมนุษย์และโลก: ระบบเศรษฐกิจต้องยึดถือสุขภาวะของมนุษย์และระบบนิเวศเป็นหัวใจหลัก โดยเน้นผลประโยชน์ร่วมในระดับโครงสร้าง และจัดการกับการผลิตเกินพอดีที่ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิล
- แก้ไขภาระที่ไม่เป็นธรรม: ประเทศ ชุมชน และบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากที่สุด กลับมีส่วนรับผิดชอบน้อยที่สุดต่อปัญหา จำเป็นอย่างยิ่งที่การเปลี่ยนผ่านจะต้องรวมถึงมาตรการชดเชยและสนับสนุนกลุ่มเหล่านี้อย่างเป็นธรรมผ่านกลไกตามหลักผู้ก่อมลพิษต้องเป็นผู้จ่าย Polluter Pays Principle (PPP)
อ้างอิง
[1] รายงานสหประชาชาติ A/HRC/59/42: ความจำเป็นเร่งด่วนในการยุติการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม : https://docs.un.org/en/A/HRC/59/42