ขณะนี้การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ครั้งที่ 30 หรือ COP30 กำลังเกิดขึ้น ในระหว่างวันที่ 10-21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2568 ณ เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่นาน ประเทศไทยได้ประกาศกรอบเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยในช่วงปี พ.ศ. 2574–2578 (ค.ศ. 2031–2035) ภายใต้ “แผนปฏิบัติการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด” หรือ Nationally Determined Contribution: NDC ฉบับที่ 2 (NDC 3.0) โดยระบุว่าเป็นแผนลดก๊าซเรือนกระจกที่เข้มข้นขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ และกรมโลกร้อนได้นำกรอบเป้าหมายและแผนดังกล่าวส่งต่อ UNFCCC และจะนำเสนอต่อที่ประชุม COP 30 เป้าหมายของแผน NDC 3.0 คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เหลือไม่เกิน 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂eq) หรือคิดเป็นการลดลงร้อยละ 47 จากระดับปีฐาน 2562 (ค.ศ. 2019) ซึ่งกรมโลกร้อนมองว่าเป็นการยกระดับเป้าหมายครั้งสำคัญจาก NDC ฉบับก่อนหน้า และเป็นตัวเลขที่สอดคล้องกับทิศทางการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Net Zero) ภายในปี 2050 แม้ตัวเลขเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกจะดูมีความก้าวหน้า แต่ความเป็นจริงแล้วแผนพลังงานของไทยกลับดูสวนทาง และมีแต่ทวีการสร้างโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างไม่จำเป็น แล้วเราจะบรรลุเป้าหมายลดโลกร้อนระดับโลกได้อย่างไร?
คำถามนี้นำไปสู่การถกเพื่อหาคำตอบในเวทีเสวนา “อนาคตพลังงานจากก๊าซฟอสซิลภายใต้การเดินทางสู่ Net Zero 2050 ของประเทศไทย” เมื่อศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน 2568 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) รัฐบาลไทยกล่าวว่า การประกาศเป้าหมาย NDC 3.0 ที่ COP30 จะเป็น “ข้อความแห่งความมุ่งมั่น” ของไทยต่อประชาคมโลกว่า ประเทศเราพร้อมเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบ ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของปัญหา อีกทั้งแผน NDC 3.0 นี้ยังมีศักยภาพในการดึงดูดเงินลงทุนจากต่างประเทศกว่า 230,000 ล้านบาทผ่านกลไกตลาดคาร์บอน แต่เวทีกำลังสร้างการถกเถียงว่า ข้อเท็จจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ประเทศไทยยังคงมุ่งผลักดันพลังงานฟอสซิล และรัฐบาลกำลังมองข้ามความไม่เป็นธรรมที่กำลังเกิดขึ้นกับประชาชน

รศ. ดร.ชาลี เจริญลาภนพรัตน์ อาจารย์ประจำสถาบันเทคโนโลยีนานาชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เริ่มเปิดด้วยประเด็นให้รัฐบาล “คิดใหม่ ถ้าไทยจะ Net Zero 2050 จะจัดการอย่างไรกับการใช้พลังงานจากก๊าซฟอสซิล” โดยให้ข้อมูลถึงการใช้พลังงานฟอสซิลโดยเฉพาะอย่างยิ่งก๊าซฟอสซิลหรือ LNG ของไทยว่า “ประเทศไทยพึ่งพาก๊าซฟอสซิลในการผลิตพลังงานไฟฟ้ามากถึงร้อยละ 50 บางช่วงร้อยละ 60 ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด หลายปีที่ผ่านมาเราพยายามลดการพึ่งพาก๊าซลง เนื่องจากก๊าซในอ่าวไทยลดลงเรื่อย ๆ และเราต้องนำเข้าก๊าซ LNG จากต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่เราก็ยังคงมุ่งสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซอย่างต่อเนื่อง”
ทิศทางของโลกกำลังเลิกใช้พลังงานฟอสซิล เปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การที่ประเทศไทยมุ่งสร้างโรงไฟฟ้าก๊าซมากขึ้น คือความย้อนแย้งกับคำสัญญาที่ให้ไว้กับเวทีโลก “พลังงานลมและแสงอาทิตย์ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็วถึงร้อยละ 29 ต่อปี เราต้องพยายามให้มากกว่าที่เราพยายามอยู่ตอนนี้ เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก และจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ไม่เพิ่มขึ้นเกิน 1.5 องศาเซลเซียส” รศ. ดร.ชาลี กล่าว
ในแง่ความมั่นคงด้านพลังงาน ประกอบไปด้วยหัวใจหลักคือ การผลิตได้เพียงพอ ความเสถียร และราคาที่เข้าถึงได้ รศ. ดร.ชาลี ให้ความเห็นว่า ประการแรก การผลิตไฟฟ้าของไทยที่พึ่งพาก๊าซฟอสซิลเป็นหลัก และอาศัยการนำเข้าจากต่างประเทศในปัจจุบัน จึงไม่ตอบโจทย์ด้านความมั่นคง ประการที่สอง โรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซมีค่าใช้จ่ายในการผลิตสูงมากกว่าโซลาร์เซลล์ จึงไม่ตอบโจทย์เรื่องต้นทุน และประการที่สำคัญคือ ความไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษ ก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 “เรามักโทษ PM2.5 ว่ามาจากการเผาของภาคเกษตรกรรม แต่เรามักลืมโทษโรงไฟฟ้าว่าเป็นผู้ก่อ PM2.5 ไม่น้อยเหมือนกัน ทั้งสามมิตินี้ทำให้ก๊าซธรรมชาติไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดในเวลานี้” รศ. ดร.ชาลี กล่าว

เป้าหมาย NDC 3.0 ฉบับล่าสุดของประเทศไทยได้ปรับเร่งแผนสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ให้เร็วขึ้น 15 ปี จากเดิมปี 2065 อย่างไรก็ตาม ความพยายามนี้ยังไม่เพียงพอ เนื่องจากไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เหลือเพียง 270 ล้านตันภายในปี 2035 ซึ่งหมายความว่าภาคพลังงานจำเป็นต้องลดการปล่อยลงมากกว่าร้อยละ 40 หรือเหลือเพียง 117 ล้านตันเท่านั้น แต่หากยังคงมีการสร้างโรงไฟฟ้าที่ปล่อยคาร์บอนเข้มข้น เช่น โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ กำลังผลิต 540 เมกะวัตต์ ซึ่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 2 ล้านตันต่อปี เป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศของไทยก็จะเป็นไปได้ยากมากยิ่งขึ้น
เตรียมรับค่าไฟแพงจากการสร้างโรงไฟฟ้า
“ไฟฟ้าเราแพงเพราะเราพึ่งพา LNG มากเกินไป แต่ก๊าซในอ่าวไทยที่ต้นทุนถูกกลับถูกอุตสาหกรรมปิโตรเคมีแย่งใช้ในราคาถูก” รศ. ดร.ชาลี ชี้ชัดถึงความเชื่อมโยงของปัญหาค่าไฟแพงและการพึ่งพาก๊าซฟอสซิลที่นำไปสู่การผลิตไฟล้นเกิน
การที่จะไปสู่เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก 270 ล้านตัน อุตสาหกรรมพลังงานต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากโรงไฟฟ้าถ่านหินและก๊าซฟอสซิล ผลกระทบที่ตามมาคือราคาค่าไฟที่สูง ซึ่งต้นเหตุก็มาจากโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงฟอสซิล รศ. ดร.ชาลี ย้ำว่า “เรากำลังมีโรงไฟฟ้ามากเกินไป ซึ่งเหรียญอีกด้านหนึ่งคือค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น เนื่องจากเป็นโรงไฟฟ้าที่เราไม่ได้ใช้งาน เรามีกำลังผลิตจากโรงไฟฟ้าในไทยทั้งหมด 51,992 เมกะวัตต์ แต่ไทยใช้ไฟฟ้าสูงสุดเพียง 34,568 เมกะวัตต์ (ข้อมูลเดือนเมษายน ปี 2568) หรือเรียกได้ว่าเราผลิตไฟฟ้าล้นเกินถึงร้อยละ 50 และกำลังจะสร้างเพิ่มขึ้นอีก ทั้งที่มีโรงไฟฟ้าจากเอกชน IPP 4 โรงที่ไม่ได้เดินเครื่องเลยปีนี้ นี่คือภาระที่เราต้องจ่ายเงิน เราเรียกภาระนี้ว่าค่าพร้อมจ่าย” ดังนั้น โรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ที่อยู่ในแผนผลักดันของรัฐบาลจะเป็นภาระค่าไฟที่เพิ่มมากขึ้นให้กับประชาชน
หากสร้างโรงไฟฟ้ามาแล้วไม่เปิดใช้ จะสร้างมาทำไม ข้อสงสัยนี้ดร.ชาลี อธิบายว่า “การสร้างโรงไฟฟ้าทุกโรงการันตีว่าไม่มีขาดทุน โดยอิงจากการพยากรณ์ความต้องการไฟฟ้าเกินจริง เปิดประมูลโรงไฟฟ้าให้เอกชนสร้างมากขึ้นและทำสัญญาซื้อขายกับเอกชนว่าต่อให้ไม่ได้ผลิตไฟก็จะมีการจ่ายเงินให้เพื่อให้มีการคืนทุนและผลกำไร ขณะที่ประชาชนต้องจ่ายค่าพร้อมจ่ายแม้ไม่ได้เดินเครื่องเลย ไม่มีการรับผิดชอบในการวางแผนหรือพยากรณ์ผิดพลาด และสามารถหาเหตุผลเพื่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่เพิ่มขึ้นได้ตลอด”
ดร.ชาลี ยังเสริมว่า โรงไฟฟ้าใหม่ที่จะสร้างขึ้นนั้นส่วนมากเป็นโรงไฟฟ้าก๊าซเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งปัจจุบันจำเป็นจะต้องนำเข้าจากต่างประเทศเนื่องจากปริมาณก๊าซในอ่าวไทยไม่เพียงพอ การสร้างโรงไฟฟ้าพลังก๊าซใหม่ยังชะลอการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนอีกด้วย อีกทั้งโครงสร้างราคาก๊าซยังให้ความสำคัญกับภาคอุตสาหกรรมเพราะหวังว่าเอกชนจะช่วยสร้าง GDP ให้กับประเทศ แทนที่จะชดเชยให้กับรัฐวิสาหกิจผู้ผลิตไฟฟ้าอย่างกฟผ. จึงทำให้กฟผ.กลายเป็นผู้ที่ต้องซื้อก๊าซแพงกว่าที่ควรจะเป็น และดร.ชาลีให้ความเห็นว่านี่ทำให้กฟผ.เป็นหนี้อยู่หลักแสนล้าน
ทางออกสำหรับการวนลูปค่าไฟแพงและการพึ่งพิงพลังงานก๊าซฟอสซิลนั้น ดร.ชาลี เสนอว่า “เราควรมีแผนพัฒนาการผลิตไฟฟ้า (PDP) ที่สอดคล้องกับฐานทรัพยากรของประเทศ ไม่ได้เป็นไฟฟ้าที่ต้องพึ่งพาจมูกคนอื่นหายใจด้วยการนำเข้า และตอบโจทย์เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทย สนับสนุนการผลิตไฟฟ้ากระจายศูนย์รวมถึงโซลาร์บนหลังคาแบบ Net Metering นอกจากนี้ เราควรหยุดสร้างโรงไฟฟ้าฟอสซิลใหม่ได้แล้ว ซึ่งจะเป็นภาระที่ไม่จำเป็น แล้วหันมาส่งเสริมพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและเป็นธรรมในประเทศดังที่ไทยเรามีศักยภาพมาก นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมและไม่ได้ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”
การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม: ภาพฝันหรือเรื่องจริง
“ใน NDC3.0 เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยใช้คำว่า การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานอย่างเป็นธรรม หรือ Just Transition” นี่คือข้อสังเกตของ สฤณี อาชวานันทกุล ผู้อำนวยการ Climate Finance Network Thailand (CFNT) และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ป่าสาละ จำกัด และได้ตั้งคำถามต่อว่า ในทางปฏิบัติแล้วจะแตกต่างจากเดิมอย่างไร
สฤณี อธิบายถึงความหมายของการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานว่า เป็นการเปลี่ยนผ่านจากพลังงานที่คาร์บอนสูงไปสู่แหล่งผลิตคาร์บอนต่ำ หรือคาร์บอนเป็นศูนย์ “ถ้าจะให้มีความยุติธรรมต้องคำนึงว่าใครจะเป็นผู้ได้ผู้เสียจากการเปลี่ยนผ่าน และกลุ่มเปราะบางผู้สุ่มเสี่ยงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลังจะต้องได้รับการดูแล รวมถึงแรงงานที่อยู่ในโรงไฟฟ้าถ่านหินที่ถูกออกจากงานก่อนกำหนดจะต้องทำอย่างไร เราจะทำยังไงให้กระจายผลประโยชน์อย่างยุติธรรม เราทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจในการเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน โดยเฉพาะแผน PDP ที่ประชาชนมีส่วนร่วมน้อยลงเรื่อย ๆ”
“ที่ผ่านมาเราอาจมองไม่เห็นความอยุติธรรมต่าง ๆ เช่น ต่อกลุ่มชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์โดยโครงการพัฒนาพลังงานต่าง ๆ ที่สั่งสมมาในอดีต ที่นำไปสู่การริดรอนสิทธิมนุษยชน เราต้องตระหนักว่ามีความไม่ยุติธรรมอยู่ และมีพื้นที่ที่เคยได้รับผลกระทบมาแล้วในอดีต อย่างเช่น อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง จะต้องได้รับการเยียวยาฟื้นฟูในการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานเช่นกัน” สฤณี กล่าว “การใช้คำว่าการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานจึงอาจเป็นเพียงวาทกรรมที่ไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติจริง ในความเป็นจริงประชาชนไม่ได้มีส่วนร่วมมากขึ้น ยังสงวนอำนาจการตัดสินใจไว้กับคนกลุ่มเดียว และสงวนอำนาจในการจัดการพลังงานไว้กับกลุ่มทุนหน้าเดิม ๆ”
ประชาธิปไตยพลังงาน เป็นแนวทางที่ สฤณี เสนอแทนที่วาทกรรมการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่เป็นธรรม กล่าวคือจะต้องเป็น “โลกที่ประชาชนไม่ได้มีแค่ส่วนร่วมในการตัดสินใจว่าเราจะใช้พลังงานแบบไหน แต่มีอำนาจในการผลิตพลังงาน เพราะพลังงานหมุนเวียนที่มีจำนวนมากนั้น ไม่จำเป็นต้องลงทุนมาก แต่สามารถผลิตได้ในครัวเรือน หรืออีกนัยคือ มีประชาธิปไตยในการผลิตพลังงานมากขึ้น”
การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่เป็นธรรมจะต้องเริ่มจากการเห็นพ้องต้องกันก่อนว่า อะไรไม่ยุติธรรม โดยสฤณียกตัวอย่างถึงหากประเทศไทยเปลี่ยนผ่านจากพลังงานฟอสซิล จะต้องคำนึงถึงแรงงานในโรงไฟฟ้าทั้งถ่านหินและก๊าซ จะต้องมีแผนรองรับและสนับสนุนแรงงาน ซึ่งยังไม่เห็นถึงแผนตรงนี้ชัดเจน ขณะที่รัฐบาลยังใช้มาตรการอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งสิทธิประโยชน์ทางภาษีแม้ในช่วงเปลี่ยนผ่านพลังงาน นอกจากนี้โครงการพลังงานไม่ควรดูแค่ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพราะโครงการพลังงานหมุนเวียนก็สามารถสร้างผลกระทบได้ เช่น เขื่อนขนาดใหญ่ที่สร้างผลกระทบข้ามพรมแดนและการโยกย้ายถิ่นอย่างไม่เป็นธรรม โรงไฟฟ้าพลังงานขยะที่ขาดการกำกับดูแล รวมถึงเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS)

การประกาศเป้าหมาย Net Zero ของธนาคารไทยนั้นยังไม่ได้คำนึงถึงก๊าซเรือนกระจกที่ปลดจากบริษัทที่กู้ยืมเงินลงทุนจากธนาคาร ซึ่งควรจะถือเป็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในห่วงโซ่อุปทาน เช่น โรงไฟฟ้าต่าง ๆ ที่ธนาคารให้กู้ยืมสินเชื่อที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก ภายใต้เป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกขอบเขตที่ 3 สฤณีกล่าวว่า “คำที่สำคัญกว่า Green Finance คือ Transition Finance หรือการเงินเพื่อการเปลี่ยนผ่าน ซึ่งจะเป็นแรงจูงใจให้ลูกค้าโรงไฟฟ้าฟอสซิลสามารถปิดโรงไฟฟ้าของตนได้ก่อนกำหนดแล้วเปลี่ยนไปเป็นพลังงานหมุนเวียนแทน นี่เป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่กำลังเกิดขึ้นในหลายประเทศ เช่น ประเทศฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ยังส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านที่ยุติธรรมต่อแรงงานโดยการช่วยเหลือจากสถาบันธนาคารโลก ซึ่งจะเป็นทั้งการประหยัดต้นทุน และช่วยเหลือแรงงาน นี่เป็นกลไกที่ภาคการเงินสามารถทำได้ และธนาคารไทยสามารถก้าวมาเป็นผู้นำได้เพื่อการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่เป็นธรรม”
แผน PDP ต้องมีหน้าตาอย่างไรถึงจะสอดคล้องกับ NDC3.0 และ Net Zero 2050
ธารา บัวคำศรี ผู้ร่วมก่อตั้งกรีนพีซ ประเทศไทย และผู้อำนวยการโครงการ Climate Connectors ระบุว่า ความแตกต่างระหว่าง NDC 2.0 และ 3.0 คือ การที่ NDC 2.0 ใช้วิธีการคิดกรณีฐานจากการดำเนินกิจกรรมตามปกติ (Business as usual: BAU) ในปี พ.ศ. 2573 (ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ 555 ล้านตัน) แต่หลังจากปรับปรุงแนวทางการร่วมมือระหว่างประเทศ UNFCCC แนะนำให้ใช้วิธีคิดแบบระดับการปล่อยสุทธิของปีฐาน พ.ศ.2562 (ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ 379.2 ล้านตัน) จึงนำไปสู่ NDC 3.0 ที่ใช้ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจริงของประเทศไทย โดยครอบคลุมทุกภาคส่วนตามโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งรวมถึงภาคป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน “แม้ว่าประเทศไทยจะส่งแผน NDC 3.0 ไปยัง UNFCCC ก่อนการประชุม COP30 แล้ว ขณะเดียวกัน อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานคนใหม่ได้บอกว่าแผน PDP ที่ร่างยังไม่เสร็จ ให้กลับไปใช้แผนพีดีพี 2018 ปรับปรุงครั้งที่หนึ่ง ซึ่งแผนพีดีพีนี้ล้าหลังและไม่สอดคล้องกันอย่างยิ่งกับแผน NDC 3.0”
“ถ้าไฟฟ้าไทยยังสกปรกด้วยพลังงานฟอสซิลก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาโลกร้อนได้ แผน PDP จึงต้องสอดคล้องกับแผน NDC 3.0 ด้วยการกำหนดเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคพลังงาน กล่าวคือจะต้องไม่เกิน 60 ล้านตันคาร์บอนเทียบเท่าในปี 2030 เพื่อให้ไปถึงเป้าการรักษาอุณหภูมิเฉลี่ยไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส” ธารากล่าว “ถ้าเราไม่เปิดพื้นที่ให้กับการผลิตไฟฟ้าของไทยไปสู่ระบบพลังงานที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างมาก ภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ก็จะลดได้ยาก”
“ผมก็สงสัยว่าถ่านหินแม่เมาะจะปลดระวางเมื่อไร เพราะไปสังเกตดูในพื้นที่ก็ยังคงมีการขุดเจาะและทำงาน แผนปลดระวางที่ไม่ชัดเจนนี้ยังสะท้อนถึงเหตุการณ์ความเสียหายล่าสุดจากเหตุดินถล่มเหมืองแม่เมาะ ความคิดของคนทำงานกระทรวงพลังงานเองก็ยังมองฟอสซิลเป็นฐานพลังงานหลัก แต่หากเราต้องการมุ่งเปลี่ยนผ่านทางพลังงานจริงเราต้อง “ปรับโครงสร้างทั้งหมดของระบบพลังงาน” จากระบบที่พึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล ไปสู่ระบบที่มีความยืดหยุ่น ให้ความสำคัญกับพลังงานหมุนเวียนเป็นหลัก และบริหารจัดการแบบกระจายศูนย์ (decentralized system) รวมถึงรื้อสัญญาที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายไฟฟ้าจาก LNG การทำแบบนี้จะสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของไทยไปยังเป้าหมาย Net Zero ที่ระบุว่า ภาคไฟฟ้าควรใช้ก๊าซฟอสซิลน้อยกว่าร้อยละ 20 ภายในปี 2050 และแผน PDP ต้องล้อไปตามนั้น” ธารากล่าว
“แทนที่แผน NCD 3.0 ระบุรายละเอียดทางการเงินสำหรับการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่เป็นธรรม เช่น การปลดระวางถ่านหินและการชดเชยเยียวยาแรงงาน แต่กลับเน้นหนักไปทางเทคโนโลยีเช่น โครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนใต้ทะเล (Offshore CCS) โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี ที่ชี้แจงว่าเป็นสิ่งที่ต้องการความช่วยเหลือจากกองทุนเพื่อช่วยการลดก๊าซเรือนกระจกในไทย” ธาราชี้แจงอีกครั้งถึงความไม่ตรงปกและเราอาจจะไม่ได้เห็นความเป็นธรรมของการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานภายใต้แผน NCD 3.0 ที่ไทยเสนอ

“ทุกอย่างมีต้นทุน และต้นทุนเหล่านี้จะอยู่ในบิลค่าไฟของเรา ทั้งหมดนี้เราต้องตั้งคำถามว่า ตัวเลือกที่ NCD 3.0 เลือกมาได้ถามประชาชนหรือไม่ ทำไมต้องโฟกัสที่ CCS ทั้งที่สามารถลงทุนการเพิ่มขีดความสามารถพลังงานหมุนเวียนได้” สฤณีสะท้อน
“ถ้าเรายังฝืนที่จะเผาก๊าซฟอสซิลต่อไป และแก้ปัญหาด้วยการกำจัดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงใต้ดินด้วยเทคโนโลยี CCS ที่แพงมหาศาล ท้ายที่สุดแล้วต้นทุนค่าไฟก็จะแพงยิ่งขึ้นไปอีก” รศ. ดร.ชาลี กล่าวเสริม
“ที่น่าสังเกตคือ ถ้าหากแผน PDP ไม่สามารถดำเนินการสอดคล้องไปกับแผน NDC 3.0 แล้วประเทศไทยเราจะมีแผน NCD 3.0 ไว้ทำไม” นี่คือคำถามที่ธาราทิ้งไว้ให้กับทุกคนและรัฐบาลประเทศไทยที่กำลังอยู่ในเวทีโลก COP30 ขณะนี้ ความย้อนแย้งเหล่านี้ปรากฎอยู่ในแผนการที่รัฐบาลไทยยังผลักดันการสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานฟอสซิลที่ส่งผลเสียต่อคำมั่นภายใต้แผน NCD 3.0 สิ่งนี้อาจทำให้ประชาชนต้องสูญเสียทั้งต้นทุนทางสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อาชีพและถิ่นที่อยู่อาศัยของคนในพื้นที่ กับค่าไฟที่ยิ่งแพงขึ้นไปอีก แล้วอนาคตของประเทศไทยจะมุ่งไปทางไหนกันแน่? การเปลี่ยนผ่านทางพลังงานที่เป็นธรรม หรือเพียงแค่วาทกรรมบทแผนยุทธศาสตร์ที่เปลี่ยนเพียงแค่ตัวเลข แต่ยังคงติดกับอยู่กับวังวนของอุตสาหกรรมฟอสซิลที่ซ้ำเติมความไม่เป็นธรรมซ้ำแล้วซ้ำอีกให้กับประชาชน
ร่วมลงชื่อเรียกร้องให้ยกเลิกโรงไฟฟ้าบูรพาพาวเวอร์ : https://burapa-power.justpow.co/


