โลหะหนักในแหล่งน้ำ มลพิษข้ามพรมแดน ภัยพิบัติน้ำท่วมดินถล่ม การแย่งยึดที่ดิน การสูญเสียอาชีพทำกิน และผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมหรือสุขภาพอื่น ๆ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เคราะห์ร้ายของคนในพื้นที่ แต่เป็นความละเลยต่อการเคารพสิทธิมนุษยชนของการทำธุรกิจของอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ แม้ประเทศไทยจะมีหลักการที่เสริมกลไกคุ้มครองสิทธิมนุษยชนจากผลกระทบของการดำเนินการธุรกิจใด ๆ ภายใต้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย (NAP 2566-2570) ซึ่งถือเป็นระยะที่ 2 แล้ว และประเทศไทยมีบทบาทระดับโลกในฐานะสมาชิกองค์การสหประชาชาติที่ต้องมีพันธกรณีปฏิบัติตามกลไกสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศด้วยการยึดมาตรฐานสากลด้านสิทธิมนุษยชน เป้าหมายสำคัญของแผนปฏิบัติการ NAP นั้นมีเพื่อกำหนดให้ภาคธุรกิจเข้าใจหลักการ ควบคู่ไปกับการปฏิบัติจริงในการทำหน้าที่ของภาคธุรกิจที่ต้องเคารพสิทธิมนุษยชน เพื่อทั้งป้องกันและแก้ไขปัญหาการทำธุรกิจที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในทุกระดับการประกอบธุรกิจและตลอดห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ ทว่าหากดูสถานการณ์สิ่งแวดล้อมและการละเมิดสิทธิชุมชนที่เกิดขึ้นจากโครงการของรัฐและอุตสาหกรรมแล้ว คงไม่เกินจริงหากจะกล่าวว่า แผนปฏิบัติการนี้ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการปฏิบัติจริง
นับว่าเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว ที่ประเทศไทยประกาศแผน NAP ออกมาตั้งแต่แผนระยะที่หนึ่งเมื่อปี 2562 (ระยะที่ 1 พ.ศ. 2562-2565) จนกระทั่งเข้าสู่แผนระยะที่สองในปัจจุบัน แผน NAP นั้นมีเจตนาและหลักการที่ดีสำหรับรัฐที่จะนำมาใช้เพื่อกำกับให้บริษัทอุตสาหกรรมประกอบกิจการภายใต้หลักการเคารพสิทธิมนุษยชน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม เช่นนั้นแล้ว ทางออกเพื่อแก้ปัญหาของภาคธุรกิจและการคุกคามสิทธิมนุษยชนคืออะไร ภาคประชาสังคมด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม 17 องค์กรร่วมกันหาทางออกนี้ผ่านการพูดคุยร่วมกับ ดร. พิชามญชุ์ เอี่ยวพานทองประธานคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (UNWG on BHR) คุณนรีลักษณ์ แพไชยภูมิ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ คุณวัชรพงษ์ วรรณตุง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ คุณเพ็ญพิชชา จรรย์โกมล สมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย และคุณส.รัตนมณี พลกล้า มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC) และตัวแทนจากภาคประชาชนในเวทีเสวนา “ทางออกของปัญหา-กลไกความรับผิดชอบของภาคธุรกิจและกฎหมาย ด้านธุรกิจและสิทธิมนุษยชน” ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวข้อจากเวที “สถานการณ์ธุรกิจและสิทธิมนุษยชน ‘เปลี่ยนหลักการสู่การปฏิบัติ” เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568 ที่ผ่านมา เพื่อเสนอทางออกร่วมกันว่า จะทำอย่างไรให้แผน NAP นั้นสามารถคุ้มครองสิทธิมนุษยชนได้อย่างเต็มศักยภาพ
“รัฐปล่อยเกียร์ว่างให้ธุรกิจ แต่ดำเนินการกับคนตัวเล็กตัวน้อย”
ก่อนจะไปถึงข้อเสนอแนะจากภาคประชาชนต่อแผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ส.รัตนมณี พลกล้า มูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน (CRC) และตัวแทนจากภาคประชาชน ได้สรุปข้อกังวลจากชุมชนและภาคประชาสังคมอันเป็นผลจากการคุกคามสิทธิมนุษยชนที่เกิดขึ้นในหลากหลายประเด็นผ่านเวทีเสวนานี้ โดยแบ่งเป็นประเด็นดังต่อไปนี้
สิทธิแรงงานในการชุมนุมประท้วงอย่างสงบเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม
ในประเด็นแรงงาน นอกจากค่าจ้างสำหรับแรงงานขั้นต่ำจะไม่ใช่ค่าตอบแทนที่สามารถดำเนินชีวิตได้จริง เช่น ไม่สอดคล้องกับค่าเดินทาง เช่น ค่าอุปโภคบริโภค ค่าขนส่งสาธารณะที่มีราคาสูง หรือปัจจุบันรถสาธารณะระหว่างจังหวัดหรือระหว่างอำเภอก็ไม่มี นอกจากนี้แรงงานข้ามชาติก็ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการ ไม่สามารถทำใบขับขี่ได้ นี่คือปัญหาและข้อเสนอที่ต้องการให้ทั้งรัฐและเอกชนเข้ามาดูแล
แต่นอกจากค่าแรงแล้ว สถานการณ์สำคัญที่ยิ่งบีบคั้นสิทธิแรงงานของไทย คือ กฎหมายห้ามชุมนุมในสถานประกอบการ โดยส.รัตนมณี มองว่า การที่ในสถานประกอบการห้ามชุมนุม และออกมาชุมนุมข้างนอกก็เจอกฎหมายพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ที่จำกัดให้พื้นที่การใช้สิทธิเสรีภาพน้อยลง มิหนำซ้ำ กฎหมายนี้ยังต้องเเจ้งการชุมนุม การเเจ้งไม่ได้เป็นการแจ้งมาเพื่ออำนวยความสะดวกแต่เป็นการแจ้งเพื่อรอการอนุญาต มันยิ่งซ้ำเติมปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไข “เนื่องจากแม้จะใช้คำว่าแจ้งแต่ที่จริงแล้วเป็นการขออนุญาต และจะถูกจำกัดสิทธิว่าห้ามชุมนุมตรงนั้นตรงนี้ เท่ากับว่าถ้าแรงงานอยากชุมนุม ขาข้างหนึ่งจะอยู่ในตาราง” ส.รัตนมณี กล่าวถึงปัญหาสิทธิของแรงงาน
สิทธิในสิ่งแวดล้อมที่สะอาดและยั่งยืน
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินกิจการของธุรกิจไม่ได้จำกัดเพียงพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังเกิดผลกระทบข้ามพรมแดนด้วย ส. รัตนมณี กล่าวถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษจากการทำเหมืองแร่ ซึ่งเป็นผลมาจากแผนแม่บทการบริหารจัดการแร่ ฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2565–2569) ที่ขาดการตรวจสอบสภาพพื้นที่จริงโดยเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งเมื่อเกิดผลกระทบขึ้นแล้วก็ยังไม่สามารถจัดการได้ เช่น กรณีเหมืองแร่โปแตซ ด่านขุนทด แม้ประชาชนจะร้องเรียนต่อหน่วยงานรัฐและผู้ถือหุ้น แต่ก็ไม่ได้รับการแก้ไข ส. รัตนมณี กล่าวต่อว่า “เมื่อมีการเซ็น MoU แร่แรร์เอิร์ธกับสหรัฐฯ ความกังวลยิ่งทวีขึ้น เพราะผลกระทบข้ามพรมแดนจากฝั่งประเทศเมียนมาที่เกิดขึ้นกับแม่น้ำกก สาย รวก และแม่น้ำโขงยังไม่ได้รับการแก้ไข สารหนูตอนนี้ไหลมาถึงเชียงคานและหนองคายแล้ว รัฐจะจัดการปัญหานี้อย่างไร นอกจากนี้ ประเด็นสารพิษยังเผยให้เห็นว่า ประเทศไทยส่งออกแร่แรร์เอิร์ธ แต่ไม่มีใครทราบข้อมูลห่วงโซ่อุปทานอย่างชัดเจนว่าแร่เหล่านี้มาจากแหล่งใด”
ส. รัตนมณีเน้นย้ำถึง ช่องโหว่ของข้อมูลในห่วงโซ่อุปทาน ที่ธุรกิจไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส ขณะที่ประชาชนกลับเป็นผู้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
สิทธิในที่ดินและป่าไม้
ส. รัตนมณี สะท้อนว่า ปัญหาที่ดินในประเทศไทยยังทับซ้อนกับโครงการคาร์บอนเครดิต ซึ่งเกิดจากการที่รัฐบาลไทยเข้าร่วมข้อตกลงการลดคาร์บอนในเวที COP และกำหนดเป้าหมายผ่านแผนลดก๊าซเรือนกระจก (NDCs 3.0) แต่ในทางปฏิบัติ โครงการคาร์บอนเครดิตกลับผลักประชาชนให้ออกจากป่าและที่ดินของตนเอง ทำให้ความขัดแย้งระหว่างคนกับป่าเลวร้ายยิ่งขึ้น อีกทั้งกฎหมายป่าอนุรักษ์ยังละเมิดสิทธิชุมชน และปัญหาการบุกรุกแย่งที่ดินของรัฐก็ไม่ได้รับการแก้ไข
ส. รัตนมณีกล่าวว่า “คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) ประกาศว่าหากประชาชนใดอยู่ในที่ดินของรัฐโดยไม่ไปลงทะเบียนภายในเวลาที่กำหนด จะถูกดำเนินคดี นั่นหมายความว่ากำลังผลักคนเข้าคุก ในขณะเดียวกัน พื้นที่ทางใต้ที่มีสวนปาล์มถูกทิ้งร้าง ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ สปก. หรืออื่น ๆ รัฐกลับไม่เรียกคืนเพื่อจัดสรรให้ประชาชนที่ไม่มีที่ทำกิน แต่ปล่อยให้เอกชนเข้าไปครอบครองทั้งชอบและไม่ชอบด้วยกฎหมาย นี่คือการที่รัฐปล่อย ‘เกียร์ว่าง’ ให้ธุรกิจ แต่กลับลงดาบกับคนตัวเล็กตัวน้อย”
ธุรกิจและอิทธิพลต่อการใช้และกำหนดกฎหมาย
ภาคธุรกิจมีบทบาทสำคัญต่อการกำหนดและใช้กฎหมายในสังคมปัจจุบัน ทั้งโดยตรงและทางอ้อม ผ่านกระบวนการร่างกฎหมาย การตีความ และการบังคับใช้กฎหมาย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกรณีร่าง พ.ร.บ. PRTR และ พ.ร.บ. อากาศสะอาด ซึ่งถูกออกแบบขึ้นโดยความร่วมมือของภาคประชาชนเพื่อปกป้องสิทธิของประชาชนในการเข้าถึงข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมและการรายงานเรื่องมลพิษ แต่กลับถูกชะลอหรือขัดขวางจากแรงกดดันของกลุ่มธุรกิจที่มองว่ากฎหมายเหล่านี้เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินกิจการ
ส. รัตนมณี เล่าว่า กระบวนการร่างกฎหมายทั้งสองฉบับกำลังถูกชะลอหรือกีดกันโดยอิทธิพลของกลุ่มธุรกิจ ร่างกฎหมายเหล่านี้มีวัตถุประสงค์ให้ภาคเอกชนเปิดเผยข้อมูลมลพิษ ซึ่งแม้จะดูเหมือนเป็นการลดอิสระของธุรกิจ แต่จริง ๆ แล้วจะช่วยภาคธุรกิจเองด้วย และสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจระดับประเทศได้รับการคุ้มครอง
ส. รัตนมณี กล่าวว่า “แต่ธุรกิจกลับมองว่ากฎหมายคืออุปสรรคในการทำธุรกิจ อีกฉบับที่กำลังอยู่ในกระบวนการพัฒนาคือร่างกฎหมายการตรวจสอบสถานะองค์กรด้านการเคารพสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence – HRDD) ซึ่งเราทราบมาว่าภาคธุรกิจไม่อยากได้ เพราะกลัวว่าจะเสียค่าใช้จ่าย เสียเวลา และกังวลว่าจะทำไม่ได้ แต่เราอยากย้ำว่า หากคุณทำได้ คุณจะสามารถยืนอยู่ได้อย่างสง่างาม และสามารถทำธุรกิจในระดับสากลได้อย่างมั่นคง”
นอกจากนี้ ไม่เพียงแต่ร่างกฎหมายใหม่จะถูกขัดขวาง บริษัทอุตสาหกรรมบางแห่งยังมีอำนาจใช้เครื่องมือทางกฎหมายในการดำเนินคดีกับผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์หรือมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะ ด้วยข้อหา “หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา” หรือการฟ้องปิดปาก (SLAPP) ซึ่งถือเป็นการคุกคามต่อทรัพย์สินและชีวิต
ส. รัตนมณี ระบุว่า “การฟ้องไม่ได้จำกัดเฉพาะชุมชนอีกต่อไป แต่ฟ้องไปถึงองค์กร เช่น ไบโอไทย ซึ่งเราก็ได้ยินข่าวลักษณะนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ”
NAP ที่ผ่านมาเป็นแผนปฏิบัติการภาคสมัครใจสำหรับธุรกิจ
แผนปฏิบัติการแห่งชาติด้านสิทธิมนุษยชนของภาคธุรกิจ (NAP) ที่ผ่านมาเป็น มาตรการภาคสมัครใจสำหรับธุรกิจ
นรีลักษณ์ แพไชยภูมิ จากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบแผน NAP อธิบายว่า “ขณะนี้ภาครัฐต้องรายงานการดำเนินการด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนกลับมายังกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพครบ 100% แต่ยังไม่สำเร็จทั้งหมด สำหรับภาคธุรกิจ มาตรการดังกล่าวยังเป็นภาคสมัครใจ ดังนั้นแผนปฏิบัติการ NAP จึงเป็นเพียงความคาดหวังของภาครัฐต่อการดำเนินการของภาคธุรกิจเท่านั้น และยังมีบริษัทอีกจำนวนมากที่ไม่ได้รายงาน”
นรีลักษณ์ชี้ว่า ขณะนี้การดำเนินงานด้านสิทธิมนุษยชนในภาคธุรกิจยังจำกัดอยู่เพียงบริษัทขนาดใหญ่ แต่มีอีกกลไกหนึ่งที่ช่วยบังคับการรายงาน คือ การรายงานข้อมูลด้านสิทธิมนุษยชนใน แบบ 56-1 One Report ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) ซึ่งครอบคลุมทั้งประเด็นสิ่งแวดล้อมและสังคมด้วย
“เรามองว่าแผน NAP เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่จำเป็นต้องยกระดับการขับเคลื่อนในภาคธุรกิจให้มากขึ้น ในหลายประเทศ แผน NAP ถูกยกระดับเป็น กฎหมายการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence – HRDD) ซึ่งกำหนดให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูล เช่น ในเยอรมนีและฝรั่งเศส รวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสินค้า เราเห็นด้วยว่าควรเปลี่ยนแผน NAP จากมาตรการสมัครใจเป็นมาตรการบังคับ” นรีลักษณ์กล่าว
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังร่วมกับ สหภาพยุโรป (EU) จัดทำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมการดำเนินธุรกิจที่มีความรับผิดชอบ พร้อมกลไกการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านของภาคธุรกิจ ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวเป็นร่างเดียวกับที่ ส.รัตนมณี เคยกล่าวถึงว่ากำลังถูกต่อต้านจากภาคธุรกิจ
“หากกฎหมายนี้ประกาศใช้ จะทำให้ทุกบริษัทต้องทบทวนผลกระทบของการดำเนินงานต่อสิทธิมนุษยชนตลอดห่วงโซ่อุปทาน กฎหมายนี้ช่วยให้บริษัทตระหนักถึงความเสี่ยงในการละเมิดสิทธิมนุษยชน มีทั้งมาตรการส่งเสริมและบทลงโทษ รวมถึงช่วยป้องกันความเสี่ยงได้” นรีลักษณ์กล่าว
แม้ในบางประเทศที่มีกฎหมาย HRDD จะยุติการทำแผน NAP ไปเลย แต่สำหรับประเทศไทย นรีลักษณ์เห็นว่า แผน NAP ยังคงจำเป็นควบคู่ไปกับ HRDD โดยเฉพาะบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่ยังไม่อยู่ในขอบเขตกฎหมาย HRDD แผน NAP จะเป็นแนวทางให้บริษัทเหล่านี้ปฏิบัติได้
“ประเทศไทยมุ่งเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกภาคีของ องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ภายในปี 2570 เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ภารกิจเร่งด่วนคือการบรรลุกรอบ OECD โดยเฉพาะด้านสิทธิมนุษยชน” นรีลักษณ์เสริม
รัฐวิสาหกิจและบทบาททางสิทธิมนุษยชน
ในบริบทของการขับเคลื่อนสิทธิมนุษยชน แผนปฏิบัติการแห่งชาติด้านสิทธิมนุษยชนของภาคธุรกิจ (NAP) ไม่ได้จำกัดเฉพาะภาคเอกชนเท่านั้น แต่ยังขยายไปถึง รัฐวิสาหกิจ ในฐานะหน่วยงานของรัฐด้วย
วัชรพงษ์ วรรณตุง จากสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ อธิบายว่า “แผน NAP ฉบับที่สองเป็นแผนภาคบังคับสำหรับรัฐวิสาหกิจด้วย ซึ่งต้องรายงานผลการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนต่อกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ โดยสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจได้กำกับดูแลผ่าน นโยบายการกำกับดูแลกิจการ (CG Policy) และการประเมินผลการดำเนินงาน”
วัชรพงษ์ยังเสริมว่า รัฐวิสาหกิจได้ปรับใช้ CG Policy ฉบับใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับกรอบมาตรฐานของ OECD โดยกำกับให้รัฐวิสาหกิจแม่วางนโยบายให้สอดคล้องกับกฎหมาย และขยายไปถึงบริษัทลูก รวมถึงกำหนดแนวทางปฏิบัติต่อผู้มีส่วนได้เสียและสิ่งแวดล้อม พร้อมทั้งมีการวัดผลผ่าน KPI โดยผลการประเมินที่ดีจะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล
“เรากำกับดูแลรัฐวิสาหกิจแม่ซึ่งดำเนินงานในประเทศ และบังคับให้ไปกำหนดนโยบายยังบริษัทลูก ผลปรากฏว่าสามารถดำเนินการได้ดี ความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนยังมีจำกัด แต่ถือว่ามีการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง” วัชรพงษ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามสำคัญที่ต้องพิจารณา คือ เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่า รายงานของบริษัทต่างๆ สะท้อนการประเมินความเสี่ยงและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้านจริงๆ หากข้อมูลทั้งหมดมาจากการประเมินและรายงานของบริษัทเอง
ความท้าทายของภาคเอกชนในมิติสิทธิมนุษยชน
ในขณะที่การเคลื่อนตัวด้านสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยขยายวงกว้าง ภาคธุรกิจถือเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญ แต่ก็ต้องเผชิญกับ ความท้าทายเฉพาะตัว โดยเฉพาะในเรื่องการประยุกต์ใช้มาตรฐานสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน
เพ็ญพิชชา จรรย์โกมล จากสมาคมเครือข่ายโกลบอลคอมแพ็กแห่งประเทศไทย (UN Global Compact Network Thailand – UNGCNT) ระบุว่า “ภาคธุรกิจมีความสนใจและเริ่มเข้าใจสิทธิของตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะสิทธิของพนักงานในบริษัท แต่บริษัทหลายแห่งยังไม่เข้าใจว่า การไม่ทำ HRDD เป็นความเสี่ยงด้านธุรกิจ ซึ่งเท่ากับความเสี่ยงด้านสิทธิมนุษยชน และไม่ใช่เพียงเรื่อง CSR”
เธอกล่าวต่อว่า บริษัทขนาดใหญ่ส่วนใหญ่เริ่มทำรายงานและประเมินผลกระทบทางสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางแล้ว ขณะที่ บริษัทขนาดเล็กและไมโคร ยังคงเป็นโจทย์ท้าทาย เนื่องจากขาดทรัพยากร เช่น ฝ่ายยั่งยืนที่สามารถช่วยจัดทำรายงานได้
เพ็ญพิชชาเสริมว่า ปัจจุบันมีภาคเอกชนไทยเป็นสมาชิกของ UNGCNT กว่า 150 บริษัท ครอบคลุมหลายกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งเกษตร อุตสาหกรรมผลิต และพลังงาน ตั้งแต่ขนาดเล็กไปจนถึงขนาดใหญ่ โดยบริษัทสมาชิกต้องจัดทำรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการขับเคลื่อนประเด็นสิทธิมนุษยชนและเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของ UNGCNT
เธอยังชี้ว่า หากประเทศไทยต้องการก้าวสู่การเป็น สมาชิกภาคีขององค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ภาคธุรกิจจะต้องปฏิบัติตามหลักการ Human Rights Due Diligence (HRDD) อย่างเคร่งครัด ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจเองด้วย
“กฎหมายไทยยังจำเป็นต้องสร้าง แรงจูงใจให้ภาคธุรกิจเปลี่ยนแปลง และนำ HRDD ไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม” เพ็ญพิชชากล่าวทิ้งท้าย
ภาคธุรกิจต้องการแรงจูงใจในการประกอบธุรกิจบนฐานสิทธิมนุษยชน
ดร. พิชามญชุ์ เอี่ยวพานทอง ประธานคณะทำงานสหประชาชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (UNWG on BHR) ตั้งคำถามต่อภาคธุรกิจต่อว่า “หลายครั้งที่เราพูดคุยกับบริษัท พวกเขามักถามว่า ‘เรามีแรงจูงใจอะไรให้บ้าง’ ทั้ง ๆ ที่บริษัทของคุณก็เป็นส่วนหนึ่งของสังคมเช่นกัน ดังนั้นการทำความดี การเคารพสิทธิมนุษยชน และสิทธิทางสิ่งแวดล้อม จำเป็นต้องมีแรงจูงใจให้ทำด้วยหรือ?”
“นโยบายต่าง ๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี แต่ยังไม่เพียงพอ ปัญหาคือเราจะนำมาปฏิบัติอย่างไร เราเข้าใจดีว่าสำหรับบริษัทแล้ว การทำตามกรอบสิทธิมนุษยชนไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ต้องถามตรง ๆ ว่า บริษัทจำเป็นต้องมีแรงจูงใจมากกว่าการทำความดีด้วยหรือ? หากห่วงโซ่อุปทานของคุณมีปัญหา เช่น การใช้แรงงานทาส แรงงานเด็ก หรือก่อผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม แรงจูงใจใดจึงจะมากพอ? แม้หลายบริษัทอ้างว่ามี CSR หรือสร้างวัด แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถชดเชยความเสียหายที่เกิดจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมได้”
ดร. พิชามญชุ์เสริมว่า “เราได้ยินว่าภาคธุรกิจพยายามล็อบบี้ไม่ให้มีกฎหมาย HRDD ออกมา และระบุว่าประเทศไทยไม่จำเป็นต้องมี อีกทั้งภาคธุรกิจต้องลงทุนเรื่องนี้มากขึ้น หากภาคธุรกิจพูดเช่นนี้ นั่นชี้ชัดว่าภาคธุรกิจและรัฐวิสาหกิจยังไม่เข้าใจในสิทธิมนุษยชน เราไม่ควรต้องมานั่งคุยกันว่าการมีกฎหมายจำเป็นหรือไม่ เพราะมัน จำเป็น และหลายประเทศตระหนักถึงกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ HRDD ไม่ใช่เรื่องเอกสาร แต่คือผลกระทบจากการดำเนินกิจการ ซึ่งเป็นเหตุผลที่รัฐและธุรกิจต้องคุยกับประชาชน และต้องถามผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ไม่ใช่ทำเองตรวจสอบตนเอง”
“การตรวจสอบสามารถทำได้หลายระดับ และทำได้ต่อเนื่อง เพื่อให้บริษัทรับรู้ปัจจัยเสี่ยงต่อสิทธิมนุษยชนและจัดการได้ทันท่วงที นอกจากนี้ต้องมี เสียงของชุมชนและนักปกป้องสิทธิ เข้ามามีส่วนร่วมโดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกดำเนินคดีหรือได้รับอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน ทางคณะทำงานเรามองว่าการที่บริษัทสามารถรับเรื่องร้องเรียนจากชุมชนได้ถือเป็นเกณฑ์การตรวจสอบที่ดี” ดร. พิชามญชุ์กล่าว
ส. รัตนมณี เสริมว่า “กิจการของคุณสร้างผลกระทบข้างนอก กลไกการรับเรื่องร้องเรียนจึงไม่ควรจำกัดเฉพาะภายในบริษัทหรือเฉพาะพนักงาน แต่ต้องประกาศให้ชัดเจนว่าหากมีเรื่องร้องเรียนต่อบริษัทจะต้องทำอย่างไร ซึ่งรวมถึงผลกระทบจากการประกอบกิจการและการผลิต ต้องรับเรื่องร้องเรียนและตรวจสอบอย่างจริงจัง พร้อมกำจัด การฟ้องปิดปาก (SLAPP) ออกไป นอกจากนี้หน่วยงานตรวจสอบร้องเรียน เช่น กรรมการสิทธิ ผู้ตรวจการแผ่นดิน และศูนย์ดำรงธรรม ต้องตรวจสอบอย่างเป็นกลางและไม่ซ้ำเติมผู้ถูกกระทำ”
ส. รัตนมณีสรุปข้อเสนอจากภาคประชาชนว่า “การกำจัดการฟ้องปิดปากประชาชนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินควบคู่ไปกับแผน NAP ต้องแก้กฎหมายเพื่อไม่ให้การฟ้องปิดปากกลายเป็นกฎหมายอาญา และศาลควรยกฟ้องโดยไม่พิจารณา เพื่อให้คดีเหล่านี้ไม่เกิดขึ้นและไม่สร้างภาระแก่ประชาชน ภาคธุรกิจและรัฐวิสาหกิจต้องตรวจสอบและประเมินสิทธิมนุษยชนรอบด้าน ใช้กลไกทางกฎหมายอย่างถูกต้องและเป็นธรรม เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิ ท้ายที่สุดธุรกิจต้องดำเนินกิจการโดยสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้”
ปัจจุบัน แผนปฏิบัติการแห่งชาติว่าด้วยธุรกิจและสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยยังเป็นเพียง กรอบการดำเนินการภาคสมัครใจสำหรับธุรกิจ สถานการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชนของบริษัทอุตสาหกรรมยังดำเนินต่อไป โดยผู้มีสิทธิออกเสียงต่อโครงการอุตสาหกรรมมีเพียงผู้มีส่วนได้เท่านั้น ไม่ใช่ผู้มีส่วนเสีย และอุตสาหกรรมผู้ก่อผลกระทบจำนวนมากกลับได้รับรางวัลด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน
“ขณะที่พี่น้องของเราร้องเรียนเรื่องผลกระทบจากเหมืองในพื้นที่ แต่เหมืองกลับได้รับรางวัล ‘เหมืองสีเขียว’” นี่คือเสียงสะท้อนจากผู้ได้รับผลกระทบเหมืองด่านขุนทด ถึงความย้อนแย้งของคำพูดรัฐและบริษัทกับการปฏิบัติ
“คุณไม่ฟ้องปิดปากได้ไหม? คุณไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิทธิสิ่งแวดล้อมได้ไหม? รายงานด้านสิทธิมนุษยชนของคุณน่าเชื่อถือแค่ไหน? หากภาคธุรกิจทำดีจริง กฎหมายอะไรออกมาก็ไม่ควรกลัว” นี่คือคำถามจากประชาชนที่ต้องการให้ธุรกิจดำเนินการโดยไม่ละเลยการเคารพสิ่งแวดล้อมและชุมชน
เสียงสะท้อนจากชุมชนในเวทีนี้สะท้อนให้เห็นว่า แผน NAP ขณะนี้ล้มเหลวในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน ขึ้นอยู่กับภาครัฐแล้วว่าหากต้องการยกระดับเศรษฐกิจควบคู่ไปกับสิทธิมนุษยชน จะต้องเดินหน้าแผนปฏิบัติการอย่างเข้มข้น เร่งผลักดันและบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
ในเวทีนี้ เครือข่ายชุมชนและภาคประชาสังคม (Community and Civil Society Coalition for Business and Human Rights Watch Network – CCBHR) จากการรวมตัวขององค์กรสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมกว่า 17 องค์กร ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรี โดยมี ดร. รัชดา ธนาดิเรก ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้แทนรับข้อเรียกร้อง และกล่าวปิดงานว่า
“รัฐบาลมองว่าธุรกิจไม่ควรเน้นเพียงกำไร แต่ต้องสร้างความยั่งยืนให้กับประชาชนด้วย ภายใต้บริบทธุรกิจและสิทธิมนุษยชน ก่อนที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นรัฐภาคีสมาชิก OECD ประเทศไทยยังมีช่องว่างในมาตรฐานกฎหมายไทยเทียบกับ OECD”
ข้อเรียกร้องหลักจากภาคประชาชนคือ การเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งที่เกิดขึ้นแล้วและกำลังจะเกิดขึ้น เพื่อให้เกิดธุรกิจที่เคารพ ปกป้อง และเยียวยาระบบนิเวศ สังคม และวัฒนธรรมของประชาชน โดยเรียกร้องให้รัฐและภาคธุรกิจยกระดับความรับผิดชอบ การเปิดเผยข้อมูล การมีส่วนร่วมของชุมชน และกลไกการเยียวยาที่มีประสิทธิภาพ โปร่งใส และเข้าถึงได้จริง


