กรุงเทพฯ, 27 ตุลาคม 2564 – สืบเนื่องจากการแถลงข่าวโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายวราวุธ ศิลปอาชา เรื่องกรอบท่าทีการเจรจาของไทยในการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 26 (COP26) ในวันที่ 27 ตุลาคม 2564 โดยระบุว่า นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาจะเดินทางไปเข้าร่วม COP26 และประกาศยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ (Long-term low greenhouse gas emission development strategies: LT-LEDS) ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบยุทธศาสตร์ระยะยาวฯ ดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 รวมถึงประกาศเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เพื่อเป็นการแสดงวิสัยทัศน์และสื่อสารถึงความมุ่งมั่นของประเทศร่วมกับประชาคมโลกในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

กรีนพีซ ประเทศไทย ในฐานะเป็นเครือข่ายภาคประชาสังคมและองค์กรรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นอิสระ มีความเห็นต่อกรอบท่าทีการเจรจาของรัฐบาลไทยใน COP26 ดังต่อไปนี้

  • แผนดำเนินการของไทยยังคงละเลยมิติความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ(Climate Justice)

การดำเนินงานภายใต้แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปี 2558-2593 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 2560-2579 แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจก ปี 2564-2573 (Nationally Determined Contribution) แผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ ปี 2561 – 2580 (National Adaptation Plan:NAP) แผนกลยุทธ์การเจรจาความร่วมมือระหว่างประเทศแบบทวิภาคีและพหุภาคีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปี 2565–2570 เป้าหมาย Net Zero Emission และยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำ ทั้งหมดนี้ต่างละเลยมิติความเป็นธรรมด้านสภาพภูมิอากาศ(Climate Justice)  ซึ่งอาจนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมที่ทวีความรุนแรงขึ้น ความยากจน และโรคระบาดในอนาคต

  • แผนปลดระวางโรงไฟฟ้าถ่านหินของไทยไม่ทันการกับการต่อกรวิกฤตสภาพภูมิอากาศและแผนการพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของไทย

สาระสำคัญของยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทยที่มุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในปี 2573 และปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero GHG emission) โดยเร็วที่สุดภายในครึ่งหลังของศตวรรษนี้ รวมถึงมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2608 นั้นย้อนแย้งกับนโยบาย No New Coal จากข้อมูลของกรอบแผนพลังงานแห่งชาติ ซึ่งระบุว่า จะมีการกำหนดนโยบายที่ไม่เพิ่มปริมาณสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน และจะทยอยปลดระวางโรงไฟฟ้าที่ผลิตจากถ่านหิน และคาดว่าจะไม่มีไฟฟ้าที่ผลิตจากถ่านหินเข้าสู่ระบบ ตั้งแต่ปี 2593 เป็นต้นไป

ข้อเสนอจากรายงาน ‘ปลดระวางถ่านหินเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมในประเทศไทย(Coal Phase-Out and Just Transition in Thailand)’ โดยกองทุนแสงอาทิตย์ สถาบันเทคโนโลยีนานชาติสิรินธร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มูลนิธินโยบายสุขภาวะและกรีนพีซ ประเทศไทย ระบุว่า “รัฐบาลไทยสามารถปลดระวางถ่านหินได้อย่างเร็วที่สุดภายในปี 2570 หรืออย่างช้าที่สุดภายในปี 2580 หากรัฐบาลยังเพิกเฉยไม่เห็นความสำคัญก็จะไม่สามารถปลดระวางการใช้ถ่านหินได้เลยในอนาคต

  • รัฐบาลไทยจะต้องมีจุดยืนที่จะปฏิเสธแนวทางการชดเชยคาร์บอน (carbon offset)

ท่าทีการเจรจาของไทยใน COP26 นั้นนอกจากการสร้างความร่วมมือด้านสภาพภูมิอากาศกับประชาคมโลกในด้านเงินทุน การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี การแบ่งปันองค์ความรู้และการสร้างศักยภาพ รัฐบาลไทยต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนโดยปฏิเสธแนวทางการชดเชยคาร์บอน (carbon offset) ที่เป็นเรื่องหลอกลวง และเปิดโอกาสให้ประเทศร่ำรวยและบรรษัทอุตสาหกรรมใช้ประโยชน์จากวัฏจักรคาร์บอนตามธรรมชาติ แย่งยึดที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติในประเทศให้เป็นสินค้าแสวงผลกำไร แต่หลีกเลี่ยงภาระรับผิดต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ตนก่อขึ้น

ในวาระ COP26 กรีนพีซ ประเทศไทย เรียกร้องให้รัฐสภาไทยประกาศ ‘ภาวะฉุกเฉินสภาพภูมิอากาศ’ ดังนี้

  • ใช้กลไกคณะกรรมาธิการรัฐสภาผลักดันประเด็น “วิกฤตสภาพภูมิอากาศ” เป็นวาระหลัก และผนวกข้อเสนอของภาคประชาชนในแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นธรรม รวมถึงยอมรับและให้ความสำคัญกับองค์ความรู้และภูมิปัญญาชุมชนท้องถิ่นในการต่อกรกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
  • รับรองว่ามาตรการทางเศรษฐกิจและสังคมต่างๆ เพื่อฟื้นฟูผลกระทบจากโรคระบาดและ วิกฤตสภาพภูมิอากาศนั้นมุ่งส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชน และเคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
  • ตระหนักว่าการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อบรรลุเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียส ตามความตกลงปารีส ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ (systemic change) และกลยุทธ์ที่โปร่งใสเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์อย่างแท้จริง (real zero) เริ่มจากการปลดระวางถ่านหินและปลดแอกเชื้อเพลิงฟอสซิล การปฏิวัติระบบอาหาร และลดนโยบายสนับสนุนการผลิตและบริโภคเนื้อสัตว์เชิงอุตสาหกรรม ตลอดจนยุติโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่ก่อมลพิษ และเชื่อมโยงกับห่วงโซ่อุปทานของแหล่งสำรองเชื้อเพลิงฟอสซิลแห่งใหม่
  • ป้องกันการครอบงำของบรรษัทข้ามชาติเหนือสิทธิบัตรพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์และสิ่งมีชีวิต ซึ่งจะทำลายศักยภาพการปรับตัวจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศของเกษตรกรรายย่อย ชุมชนท้องถิ่น ชนเผ่าพื้นเมืองและกลุ่มชาติพันธุ์
  • คุ้มครองและสนับสนุนสิทธิชุมชนและประชาชนในการอนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศทะเล พื้นที่ชุ่มน้ำและชายฝั่งที่เป็นรากฐานของเศรษฐกิจแบบเกื้อกูล (supportive economy) และแหล่งความมั่นคงทางอาหารของชุมชนและประเทศ

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ

สมฤดี ปานะศุทธะ ผู้ประสานงานสื่อมวลชน กรีนพีซ ประเทศไทย

อีเมล  [email protected]

โทร. +6681 929 5747