หนึ่งในไฮไลท์จากมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ในวันที่ 4 สิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา คือ การเห็นชอบกรอบแผนพลังงานชาติ (National Energy Plan) ซึ่งได้กำหนดแนวนโยบายภาคพลังงาน โดยมีเป้าหมายสนับสนุนให้ประเทศไทยสามารถมุ่งสู่พลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนไดออกไซด์) สุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emission) ภายใน ค.ศ. 2065-2070 (พ.ศ.2608-2613) หรืออีก 49 ปีข้างหน้า
จนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีการกำหนดยุทธศาสตร์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระยะยาว สิ่งที่รัฐบาลมีอยู่ในมือ ณ เวลานี้มีเพียงแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจก ปี พ.ศ.2564-2573 (Nationally Determined Contribution Roadmap on Mitigation 2021-2030) ซึ่งตั้งเป้าไว้ที่ 20-25%
ส่วนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ.2561-2580) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ร่างทรงของ คสช. ที่สัญญาลมๆ แล้งๆ ว่าจะนำพาสังคมไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนนั้นมีเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกลงเพียง 20% (ตามแผนที่นำทางลดก๊าซเรือนกระจก) และใช้พลังงานหมุนเวียน 40%
นโยบายที่เป็นยุทธศาสตร์แผนงานข้างต้นนี้มีลักษณะเบี้ยหัวแตก ย้อนแย้งและอิหลักอิเหลื่ออย่างยิ่ง! และเพื่อความกระจ่าง เราจะทำความเข้าใจกับประเด็นดังต่อไปนี้
สั้นๆ กับ Net Zero Emission
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จะเกิดขึ้นได้เมื่อก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ปล่อยจากกิจกรรมของมนุษย์มีภาวะสมดุลกับการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศของโลก
เงื่อนไขแรกและสำคัญที่สุด คือ จะต้องลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากยานยนต์สันดาปภายในโรงไฟฟ้าและอุตสาหกรรมที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลให้เข้าใกล้ศูนย์มากที่สุด ต่อมาคือการดึงก๊าซเรือนกระจกที่สะสมในชั้นบรรยากาศด้วยกระบวนการต่างๆ
เป้าหมายและเงื่อนเวลา
ภายใต้ความตกลงปารีส การควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกมี 2 เป้าหมายคือ 1.5 และ 2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม
ในกรณี 1.5 องศาเซลเซียส จะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์โดยสุทธิในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2587-2595 และต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมเป็นศูนย์โดยสุทธิในช่วงปี พ.ศ.2606 และ พ.ศ.2611 รายงานพิเศษ “Global Warming of 1.5˚C” ของ IPCC ระบุว่า หากโลกบรรลุ Net Zero Emissions ภายในปี พ.ศ.2583 มีโอกาสสูงมากที่จะควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ยิ่งการปล่อยก๊าซสูงสุดได้เร็ว การลดการปล่อยทำได้ง่ายขึ้น และไม่ต้องพึ่งพามากกับการดึงคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษ
ในกรณี 2 องศาเซลเซียส จะต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์โดยสุทธิในช่วงระหว่างปี พ.ศ.2613-2628 ในขณะที่ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมให้เป็นศูนย์โดยสุทธิภายในสิ้นศตวรรษนี้(พ.ศ.2643) แต่โอกาสจะเหลือน้อยกว่าครึ่งที่จะควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศาเซลเซียส
แนวทาง Net Zero Emission
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ต้องการการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ (systemic change) ทั้งด้านนโยบาย เทคโนโลยีและพฤติกรรม อย่างเช่น เพื่อบรรลุเป้าหมาย 1.5 องศา ภายใต้ความตกลงปารีส ต้องปฏิวัติระบบพลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี พ.ศ.2593
นอกจากการลงทุนในระบบพลังงานหมุนเวียน ประสิทธิภาพพลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้าแล้วแนวทางหลักที่สำคัญคือ การปลดแอกถ่านหิน (phase out coal plants) การปรับปรุงอาคาร (retrofit buildings) การลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมหนัก (ซีเมนต์ เหล็ก พลาสติก) และอุตสาหกรรมการบินและการเดินเรือขนส่งสินค้า การปฏิวัติระบบอาหาร การลดบริโภคเนื้อสัตว์อุตสาหกรรม การลดอาหารเหลือทิ้ง การฟื้นฟูผืนดินที่เสื่อมโทรม และการรักษาระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพขณะเดียวกันรับรองสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร
อย่างไรก็ตาม แนวทาง Net Zero Emission ก็ถูกตั้งคำถาม กล่าวคือ “Net Zero” ก็ยังเอื้อให้อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลเดินหน้าสำรวจ ขุดเจาะ สกัดและเผาไหม้ถ่านหิน ก๊าซและน้ำมันต่อไป และจ่ายเงินจ้างใครสักคนทำการดึงก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศโดยการปลูกป่าชดเชย กลไกซื้อขายคาร์บอน (Emission Trading) หรือใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage) ที่ต้นทุนสูงลิบลิ่วและไม่ได้รับการพิสูจน์
ดังนั้น “Net Zero Emission” ต้องวางอยู่บนพื้นฐานของชุดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ที่โปร่งใสเพื่อทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นศูนย์อย่างแท้จริง ส่วนในระดับประเทศ จะต้องกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรม แยกออกจากการใช้ประโยชน์จากวัฏจักรคาร์บอนตามธรรมชาติซึ่งรวมถึงการปกป้องผืนป่า อธิปไตยของชนเผ่าพื้นเมือง และการฟื้นฟูป่าไม้และระบบนิเวศ โดยเป็นการดำเนินงานภายในประเทศเท่านั้น ไม่ขึ้นอยู่กับกลไกการซื้อขายและชดเชยคาร์บอน (carbon offsetting) ระหว่างประเทศ
คำถามต่อนโยบาย Net Zero Emission ของไทย
ในขณะนี้ Net Zero Emission ของไทย เน้นไปที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพียงชนิดเดียวนั่นคือก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เมื่อพิจารณาจาก การจัดทำแผนพลังงานชาติที่ครอบคลุมทั้งด้านไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ น้ำมันเชื้อเพลิง พลังงานทดแทน และอนุรักษ์พลังงาน (สาขาพลังงานและการขนส่ง) และน่าจะครอบคลุมสาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ และสาขาการจัดการของเสีย ซึ่งสอดคล้องไปกับแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจก ปี พ.ศ.2564-2573
เมื่อแผนพลังงานชาติแล้วเสร็จ จะนำไปสู่การปรับโครงสร้างกิจการพลังงานตามแนวทาง 4D1E คือ Decarbonization (การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคพลังงาน), Digitalization (การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการบริหารจัดการระบบพลังงาน), Decentralization (การกระจายศูนย์การผลิตพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน), Deregulation (การปรับปรุงกฎระเบียบรองรับนโยบายพลังงานสมัยใหม่) และ Electrification (การเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานมาเป็นพลังงานไฟฟ้า)
คำถามใหญ่คือ เป้าหมายในแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจก ปี พ.ศ.2564-2573 นั้นสอดคล้องกับการบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ใน พ.ศ.2608 หรือปี พ.ศ.2613 หรือไม่?
การศึกษาโดย Climate Analytics ระบุว่า ภายในปี พ.ศ.2573 สัดส่วนของการผลิตไฟฟ้าที่มาจากระบบพลังงานหมุนเวียนแบบคาร์บอนต่ำ (decarbonised electricity) ของประเทศไทยสามารถทำได้ถึงร้อยละ 60 รวมถึงบทบาทของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของผู้ใช้ไฟฟ้าปลายทาง ดังนั้น การลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยภายใต้แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจก (NDC) ควรมีเป้าหมายสูงส่งมากกว่านี้
แม้ว่าการดำเนินการระยะเร่งด่วนของแผนพลังงานชาติ เสนอให้มีการปรับลดสัดส่วนการรับซื้อไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิลในช่วง 10 ปีข้างหน้าภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP2018 Rev.1 ค.ศ. 2021-2030) ตามความเหมาะสม คำถามคือ จะมีการปรับลดสัดส่วนเท่าไร จะมีการยกเลิกถ่านหินออกไปทั้งหมด (Phase out coal) หรือไม่?
การวิเคราะห์โดย Climate Analytics ยังพบว่าหากมีการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ทั้งหมดตามแผนที่มีอยู่ การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากโรงไฟฟ้าถ่านหินในประเทศไทยจะสูงสุดระหว่างปี พ.ศ.2564 และ พ.ศ. 2575 และค่อย ๆ ลดลงภายในปี พ.ศ.2612 ซึ่งเกินเกณฑ์ที่ตั้งไว้ในระดับภูมิภาคอาเซียน (ตามเป้าหมายความตกลงปารีส) ที่จะต้องลด ละ เลิกถ่านหินภายในปี พ.ศ.2583
เนื่องจากแผนการขยายโรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยเพิ่มขึ้น ผลคือเป้าหมายการลดการปล่อยที่ตั้งไว้ในแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจก (NDC) จะล่าช้าออกไปมากกว่า 10 ปี ซึ่งจะส่งผลการบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission ใน พ.ศ.2608 หรือปี พ.ศ. 2613 อย่างมีนัยสำคัญ
ร่วมเรียกร้องให้คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน ออกมาตรการ net metering รับซื้อไฟฟ้าโซลาร์รูฟจากบ้านเรือนของประชาชนทั่วไป
มีส่วนร่วมส่วนที่สำคัญของการบรรลุเป้าหมาย Net Zero Emission คือ ศักยภาพการลดก๊าซเรือนกระจกสาขาเกษตร และสาขาการใช้ประโยชน์ของที่ดินและป่าไม้ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการทบทวนและจัดทำแผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ไปยังสำนักเลขาธิการอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC)
คำถามคือ ภายใต้การบริหารของรัฐบาลชุดปัจจุบันภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีการผนวกข้อเสนอภาคประชาชนที่มีมาอย่างยาวนานแต่ไม่ได้รับการตอบรับในประเด็นตัวอย่างต่อไปนี้อย่างไร?
- การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรมการเกษตรซึ่งเป็นระบบการผลิตขนาดใหญ่ ใช้สารเคมีและพลังงานสูง
- การยอมรับและให้ความสำคัญกับองค์ความรู้และภูมิปัญญาชุมชนท้องถิ่นในการต่อกรกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ การรับรองสิทธิชุมชนและสิทธิเกษตรกร รวมถึงสิทธิการเข้าถึงทรัพยากร และเปิดพื้นที่การมีส่วนร่วมจากเกษตรกรรายย่อยอย่างกว้างขวางในการปรับตัวหรือลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคเกษตร
- การสนับสนุนระบบเกษตรกรรมยั่งยืนหรือเกษตรอินทรีย์ที่เป็นมิตรกับสุขภาพและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งช่วยกักเก็บคาร์บอนในดินได้อย่างดี
- การป้องกันไม่ให้บรรษัทข้ามชาติผูกขาดสิทธิบัตรพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ และสิ่งมีชีวิตที่เป็นบ่อนทำลายศักยภาพการปรับตัวและการกอบกู้วิกฤตสภาพภูมิอากาศของเกษตรกรรายย่อย
- การยอมรับสิทธิของชุมชนในการอาศัยและใช้ประโยชน์จากป่า และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งเรื่องสิทธิที่ดินและป่าไม้ของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ให้ชัดเจนก่อนจะมีการรับมาตรการใด ๆ เกี่ยวกับภาคป่าไม้มาช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- การนำมาตรการการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการทำลายป่า และความเสื่อมโทรมของป่าไม้หรือที่รู้จักกันว่า กลไก REDD/REDD+/REDD++ [1] มาใช้ในพื้นที่ที่ยังมีปัญหาสิทธิที่ดินและป่าไม้กับชุมชน รวมถึง การนำป่าที่มีชุมชนจัดการและดูแลอยู่ก่อนแล้วเข้าไปอยู่ในกลไกตลาด
- กลไก REDD/REDD+/REDD++ กับการละเมิดสิทธิและวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น (ซึ่งรวมถึง กลุ่มชาติพันธุ์และคนที่อาศัยอยู่ในป่า) ในการใช้และจัดการทรัพยากร รวมถึงสิทธิชนเผ่าตามที่ระบุไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิของชนพื้นเมือง
เวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ว่าการบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์โดยสุทธิของประเทศไทยจะเป็นเรื่องหน้าไหว้หลังหลอกหรือไม่?
ส่วนการจัดทำแผนพลังงานชาติ แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกฉบับใหม่ และแผน Net Zero Emission ภายในปี พ.ศ.2608-2613 จะมีกระบวนการปรึกษาหารือ รับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกส่วนในสังคม สร้างความสมานฉันท์และการยอมรับอย่างกว้างขวาง และรับรองว่ามีการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมหรือไม่อย่างไรนั้น
‘คำตอบยังอยู่ในสายลม’
กรีนพีซ ประเทศไทย ร่วมทำงานกับเครือข่ายชุมชน
เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชนในหลากรูปแบบประเด็น เราส่งเสริมสันติภาพ โดยไม่รับเงินสนับสนุนจากบริษัท รัฐบาล หรือ พรรคการเมืองใด เพื่อความเป็นอิสระทางการทำงาน
หมายเหตุ :
[1] REDD ย่อมาจากคำว่า Reducing Emissions from Deforestation and Degradation คือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการตัดไม้ทำลายป่าและป่าเสื่อมโทรม เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถกเถียงอย่างกว้างขวางในประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศถึงข้อดีข้อเสีย และแนวทางการปฏิบัติโดยเฉพาะผลกระทบจากมาตรการนี้ที่จะเกิดขึ้นกับชนเผ่าพื้นเมือง และชุมชนที่อยู่อาศัยกับป่า ส่วน “REDD+” เป็นผลที่เกิดขึ้นระหว่างการเจรจาโดยเพิ่มประเด็นป่าไม้ในฐานะที่เป็น ‘แหล่งกักเก็บคาร์บอน’ (Enhancement of Carbon Stocks) และ “REDD++” เป็นประเด็นว่าด้วย “การบริการของระบบนิเวศ” (Ecosystem Services)
Discussion
เข้าใจภาวะโลกในปัจจุบัน
ดีครับ
การตั้งเป้าระยะยาวเกินไป อาจทำให้หลายคนไม่ค่อยให้ความสำคัญในพันธกิจนี้ คงต้องให้ข้อมูลกับประชาชนมากขึ้นเกี่ยวกับความยากของแต่ละกิจกรรมที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของพันธกิจนี้ (Mission to Net Zero Emission)
เราต้องสู้ไปด้วยกันค่ะในสภาวะแบบนี้
เมื่อไร เมืองไทยจะมีข้อสรุป จากการใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เป็นการพูดต่อ ๆ เสียมาก มิได้คิด พิจารณา