กรุงเทพฯ, 1 พฤศจิกายน 2562–กรีนพีซและองค์กรภาคประชาสังคมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เรียกร้องผู้นำประเทศที่เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 35 ให้ดำเนินการแก้ปัญหามลพิษจากหมอกควันข้ามพรมแดนโดยเร่งด่วน และเพื่อยุติหายนะภัยด้านสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อคนนับล้านและความเสียหายทางเศรษฐกิจของภูมิภาค

กรีนพีซและภาคประชาสังคม [1] เรียกร้องให้ผู้นำอาเซียนดำเนินการตามความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution – AATHP) ที่มีผลบังคับใช้ทางกฏหมายในปี 2559 และบังคับใช้กฎหมายที่เอาผิดบริษัทผู้รับผิดชอบต่อการก่อเกิดไฟ โดยเฉพาะสถานการณ์ไฟป่าที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและส่งผลกระทบต่อหลายพื้นที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้ง สิงคโปร์ มาเลเซีย และแม้แต่ฟิลิปินส์และไทย เมื่อไม่นานมานี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมและป่าไม้ของอินโดนีเซียประกาศสถานการณ์ไฟป่าในอินโดนีเซียปี 2562 ว่าไฟได้เผาไหม้พื้นที่ป่าพรุและผืนดินกว่า 5,360,975 ไร่ (857,756 เฮกเตอร์) ระหว่างเดือนมกราคมถึงกันยายน พื้นที่ดังกล่าวคิดเป็นขนาดใหญ่กว่าสิงคโปร์ถึง 12 เท่า

แม้ว่าจะเร็วเกินไปที่จะระบุว่าสถานการณ์มลพิษจากหมอกควันข้ามพรมแดนในปี 2562 จะรุนแรงกว่าระดับอันตรายของปี 2558 หรือไม่ แต่มีการเพิ่มขึ้นของโรคที่เกี่ยวข้องกับตาและทางเดินหายใจถึงร้อยละ 30-40 เฉพาะในมาเลเซียประเทศเดียวนับตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาของปีนี้ อินโดนีเซียประกาศว่าผู้คนราว 919,000 คนที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบได้รับการตรวจพบว่ามีอาการติดเชื้อในทางเดินหายใจในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ในกลุ่มนี้รวมถึงกลุ่มที่อ่อนไหวอย่างเด็กและผู้สูงอายุอีกด้วย

ราตรี กุสุโมฮาร์โตโน ผู้ประสานงานรณรงค์ด้านป่าไม้ กรีนพีซ อินโดนีเซีย กล่าวว่า“วิกฤตมลพิษจากหมอกควันข้ามพรมแดนเป็นประเด็นระดับภูมิภาคที่ควรอยู่ในวาระสำคัญและเร่งด่วนของการประชุมสุดยอดอาเซียนตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่หมอกควันกลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก แต่ผู้คนหลายล้านคนยังคงได้รับผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมจากการเผาไหม้ของไฟป่า ปาล์มน้ำมัน และพื้นที่เพาะปลูกสำหรับอุตสาหกรรมกระดาษ ภาคธุรกิจยังคงได้กำไร ส่วนพวกเรากลับได้รับมลพิษ”

จากการศึกษาของกรีนพีซ อินโดนีเซีย [2] บริษัทในมาเลเซียและสิงคโปร์เป็นเจ้าของพื้นที่อุตสาหกรรมปลูกไม้เยื่อกระดาษที่ถูกเผาและถูกตัด ส่งผลให้เกิดมลพิษทางอากาศจากหมอกควันข้ามพรมแดน แต่ไม่มีมาตรการทางกฏหมายต่อบริษัทเหล่านี้ นอกเหนือจากการดำเนินการให้เป็นไปตามความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดนแล้ว กรีนพีซเห็นว่าอาเซียนต้อง 1)จัดตั้งคณะทำงานที่รับรองถึงความโปร่งใสและการเปิดเผยข้อมูลแผนที่และขอบเขตของพื้นที่สัมปทานในการระบุว่าบริษัทหรือกลุ่มบริษัทใดที่มีภาระรับผิดต่อการเกิดไฟ 2) บังคับใช้กฏหมายที่เหมาะสม และ 3) ดำเนินการทางกฎหมายทั้งกับบริษัทในเครือหรือกลุ่มบริษัทที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศจากหมอกควันข้ามแดน

คิว เจีย เยา นักกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมจากมาเลเซีย กล่าวว่า“ข้อตกลงอาเซียนว่าด้วยเรื่องหมอกควันข้ามพรมแดนปี 2545 [3] เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่ภูมิภาคอาเซียนจะปลอดหมอกควันหากเราสามารถตรวจสอบผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่ไร้ความรับผิดชอบ เราต้องสร้างระบบกฎหมายที่ครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคที่ผลักดันให้รัฐบาลแต่ละประเทศให้ความสำคัญต่อประชาชนและเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตรวจสอบให้บริษัทมีความโปร่งใสและมีภาระรับผิดต่อความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น นี่คือหัวใจหลักของความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดนปี 2545 ที่ไม่เพียงแต่จะสร้างความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม แต่จะช่วยขจัดอุตสาหกรรมที่ไม่มีความรับผิดชอบ และช่วยให้อุตสาหกรรมที่มีความรับผิดชอบเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนอย่างขันแข็งในเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน”

นอกจากมลพิษหมอกควันข้ามพรมแดนจากอินโดนีเซียแล้ว ประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงยังเผชิญกับมลพิษทางอากาศจากหมอกควันจากการเผาไหม้พืชผลทางการเกษตรเพื่อการผลิตข้าวโพดเชิงอุตสาหกรรม การเพิ่มขึ้นของข้าวโพดเพื่ออาหารสัตว์ ได้กลายเป็นสาเหตุหนึ่งของการทำลายป่าและก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศในระดับภูมิภาคในที่สุด 

แม้ว่าขณะนี้จะมีแผนที่นำทาง(Roadmap)อาเซียนปลอดหมอกควันข้ามพรมแดนภายในปี 2563 [4] แต่กระบวนการภายใต้แผนที่นำทางและการนำไปปฏิบัติใช้ยังคงมีข้อกังขา

แดเนียล เฮย์วาร์ด ผู้ประสานงานโครงการวิจัยด้านพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า “การเจรจาหว่านล้อมของบริษัทที่มีอิทธิพลเหนือคณะกรรมการชุดต่างๆ ของรัฐบาล ทำให้นโยบายการลงทุนภาคเกษตรกรรมไม่สนใจใยดีต่อกฏระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมในภูมิภาคอาเซียน ผลคือ มลพิษทางอากาศจากหมอกควันข้ามพรมแดน ดังนั้น เราจะคาดหวังให้เกษตรกรหยุดเผาพื้นที่เพาะปลูก แล้วทำเกษตรแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร ถ้าหากพวกเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือที่เพียงพอ หรือสัญญาที่เป็นธรรมจากบริษัทเกษตรอุตสาหกรรม”    

การวิเคราะห์โดยใช้เครื่องมือ Moderate Resolution Imaging Spectroradiometer (MODIS) ที่ติดตั้งบนดาวเทียม Terra and Aqua ของนาซาในปี 2562 โดยกรีนพีซประเทศไทย [5] พบว่าการเพาะปลูกข้าวโพดครอบคลุมพื้นที่กว่า 3,646,620 ไร่ ในภาคเหนือของประเทศไทย และ 7,524,550 ไร่ในรัฐฉานของเมียนมา ข้อค้นพบสำคัญคือ

  • ในเดือนเมษายน ปี 2562 นี้ พบพื้นที่ที่ถูกเผาไหม้(burn scar) 98,930 ไร่ และจุดความร้อน(hotspot) 3,992 จุดในภาคเหนือตอนบนของไทย ส่วนในรัฐฉานของเมียนมาพบพื้นที่ที่ถูกเผาไหม้(burn scar) 137,100 ไร่ และจุดความร้อน(hotspot) 8,209 จุด
  • ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึง พฤษภาคม 2562 มีจุดความร้อน 6,879 จุด ภายในพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดในภาคเหนือตอนบนของไทย
  • ระหว่างเดือนธันวาคม 2561 ถึง พฤษภาคม 2562 มีจุดความร้อน 14,828 จุด ในพื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดในรัฐฉานของเมียนมา

จากการศึกษานี้ พื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดที่รัฐฉานของเมียนมาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงระยะเวลา 6 เดือน พื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดที่น้อยที่สุดในเดือนธันวาคม 2561 ซึ่งมีพื้นที่ 4,006.60 ตารางกิโลเมตร ส่วนเดือนพฤษภาคม 2562 การเพาะปลูกข้าวโพดกินพื้นที่กว่า 12,069.33 ในขณะที่ในภาคเหนือของประเทศไทย พื้นที่เพาะปลูกข้าวโพดครอบคลุมมากที่สุด 5,836.81 ตารางกิโลเมตรในเดือนเมษายน 2562 โดยที่พื้นที่ดังกล่าวนั้นไม่สามารถระบุได้เลยว่าใครเป็นเจ้าของพื้นที่ที่เกิดไฟป่าและก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศจากหมอกควัน

รศ.ดร.เศรษฐ์ สัมภัตตะกูล หัวหน้าศูนย์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Climate Change Data Center: CCDC มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า “มลพิษทางอากาศเป็นปัญหาข้ามพรมแดนที่ต้องการการจัดการในระดับภูมิภาค เพราะสิทธิในการมีชีวิตอยูในอากาศที่ดีอากาศ เป็นสิทธิของมนุษย์ทุกคน เพื่อให้สามารถปฏิบัติตน ป้องกันตนเอง ครอบครัว และคนที่รัก ได้ตามสถานการณ์จริง ณ เวลานั้นๆ ซึ่งสิทธิในการรับรู้ข้อมูลนี้เป็นสิทธิที่ประชาชนพึงมี นอกเหนือจากนโยบายและมาตรการแก้ไขปัญหาในระดับอาเซียน”

หมายเหตุ 

[1] กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, ศูนย์ข้อมูลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, สำนักทนายความด้านสิ่งแวดล้อม เจีย เยา มาเลเซียและโครงการวิจัยด้านพื้นที่ลุ่มแม่น้ำโขง ศูนย์อาเซียนศึกษา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

[2] https://www.greenpeace.org/southeastasia/press/3221/asean-haze-2019-the-battle-of-liability/ 

[3] https://haze.asean.org/?wpfb_dl=32

[4]  แผนที่นำทาง(Roadmap)อาเซียนปลอดหมอกควันข้ามพรมแดน(ปี 2559-2563) ได้รับการรับรองในการประชุมรัฐภาคีภายใต้ความตกลงอาเซียนว่าด้วยมลพิษจากหมอกควันข้ามแดน (ASEAN Agreement on Transboundary Haze Pollution – AATHP) ในวันที่ 11 สิงหาคม 2559 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

[5] ส่วนหนึ่งของบทวิเคราะห์โดยกรีนพีซประเทศไทยเกี่ยวกับการเพาะปลูกข้าวโพดเชิงอุตสาหกรรมและความเชื่อมโยงกับจุดความร้อนและปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดนในภาคเหนือของประเทศไทย รัฐฉานในเมียนมา และทางเหนือของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ดาวน์โหลดเอกสารได้ที่ https://www.greenpeace.org/southeastasia/press/3239/a-haze-free-asean-by-2020-are-we-there-yet/

ข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อ

วิริยา กิ่งวัชระพงศ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร กรีนพีซประเทศไทย

อีเมล [email protected] โทร 0917703523

Air Pollution in Bangkok. © Chanklang  Kanthong / Greenpeace
ขออากาศดีคืนมา

กรีนพีซเสนอให้กรมควบคุมมลพิษยกร่างมาตรฐาน PM2.5 ในบรรยากาศสำหรับประเทศไทยขึ้นใหม่

มีส่วนร่วม