
ผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศปรากฏอย่างชัดเจนและทวีความรุนแรงขึ้นในปี 2567 นี้ ทั้งเหตุการณ์คลื่นความร้อนสุดขั้ว พายุรุนแรง น้ำท่วมดินถล่มเฉียบพลันและยาวนาน เหตุการณ์น้ำท่วม ดินถล่มและดินโคลนในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือตอนบน เช่น บางส่วนของเชียงรายและเชียงใหม่นั้น ได้ตั้งคำถามถึงการที่โคลนและดินถล่มที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนว่าเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในบริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำติดต่อระหว่างประเทศไทย เมียนมา และสปป.ลาวหรือไม่ ท่ามกลางปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องกัน เช่น การทำเหมือง และสภาพภูมิอากาศสุดขั้ว (Extreme weather event)
ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา การขยายตัวของพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนบนและลุ่มน้ำติดต่อกับรัฐฉานของประเทศเมียนมา เป็นผลสืบเนื่องมาจากการขยายตัวของระบบเกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) จากยุทธศาสตร์ความร่วมมือเศรษฐกิจอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (The Ayeyawady-Chao Phraya-Mekong Economic Cooperation Strategy : ACMEC) หลังจากนั้นแม้พื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศไทยจะไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่มีการเพิ่มพื้นที่ไร่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นเรื่อยมา ขณะที่พื้นที่ป่าไม้ลดลงทุกปี ขณะที่ปัญหาฝุ่นพิษไม่ได้ลดลงแต่กลับทวีความรุนแรงขึ้นเช่นกัน
งานวิจัยของกรีนพีซ ร่วมกับคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ศึกษาถึงความเชื่อมโยงของการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไปเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในบริเวณลุ่มน้ำกก(Nam Mae Kok Basin) และลุ่มน้ำคำ (Nam Mae Kham Basin) บริเวณรอยต่อระหว่างประเทศไทยตอนบน รัฐฉานของเมียนมาและสปป.ลาว เปรียบเทียบ 3 ช่วงเวลา ได้แก่ พ.ศ. 2557 2562 และ 2567 ซึ่งเป็นการติดตามทุก ๆ 5 ปี โดยวิเคราะห์ผลการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลียงสัตว์ การเปลี่ยนพื้นที่ป่าไปเป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้เป็นพื้นที่ปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่มีต่อปริมาณน้ำท่า (runoff) พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม (flood risk areas) และพื้นที่เสี่ยงดินโคลนถล่ม (landslide risk areas)
ดาวน์โหลดรายงาน

ร่วมสนับสนุนการทำงานของกรีนพีซ
เราทำงานรณรงค์เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชนหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การวิจัยข้อมูล รายงานทางวิทยาศาสตร์ และรณรงค์กับประชาชนด้วยข้อมูลเหล่านี้