ท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดโควิด – 19 ที่ดำเนินมาเป็นปีที่ 3 หลายๆประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการและเริ่มนโยบายการอยู่ร่วมกับโรคชนิดใหม่นี้ให้ได้ ดูแล้วน่าจะเป็นปีที่สถานการณ์กำลังดีขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่งเรากลับต้องเจอกับวิกฤตที่ไม่คาดคิด ทั้งสงครามที่รัสเซียเดินหน้าบุกโจมตียูเครนนำไปสู่วิกฤตด้านพลังงานและอาหาร วิกฤตเศรษฐกิจ และอีกหนึ่งในวิกฤตที่ปีนี้โลกของเราต้องเจอนั่นก็คือ สภาพอากาศที่รุนแรงสุดขั้วเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนี้หากโลกยังคงนิ่งเฉยกับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากกลุ่มผู้ก่อมลพิษหลัก

และในปีนี้ เรายังคงสรุปสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจเพื่อให้ทุกคนได้อัพเดทประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมจากไทยและทั่วโลก
1.วิกฤตสภาพภูมิอากาศก่อภัยพิบัติไปทั่วโลก และการฟอกเขียวไม่ใช่ทางออกแต่สิ่งที่ควรทำคือการลงมือแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
ในขณะที่อุณหภูมิเฉลี่ยโลกกำลังสูงขึ้นทุก ๆ ปี รายงานจากองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) สรุปเอาไว้ว่าในปี 2021 ที่ผ่านมาเป็นปีที่อุณหภูมิโลกสูงที่สุดเป็นครั้งที่ 6 ตั้งแต่ที่องค์การได้บันทึกสถิติเอาไว้ ซึ่งการที่เราไม่สามารถรักษาให้โลกคงอยู่ในอุณหภูมิที่ควรจะเป็น นั่นทำให้เราต้องเจอกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วดังเช่นในปีนี้ เช่น เหตุการณ์ฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลัน คลื่นความร้อนที่ทำให้เกิดภัยแล้งอย่างรุนแรงจนทำให้เกิดไฟป่าเป็นวงกว้างในหลายเประเทศทั้งในสหรัฐฯ และยุโรป ส่วนในเอเชียก็ไม่น้อยหน้า ต้องเจอทั้งคลื่นความร้อนและฝนตกหนักกว่าปกติอีกด้วย

เหตุการณ์เหล่านี้คือผลกระทบที่ประชาชนทั่วโลกได้รับจากการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของกลุ่มอุตสาหกรรมผู้ก่อมลพิษหลัก ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล อุตสาหกรรมปศุสัตว์ ที่พยายาม ‘ชะลอและบิดเบือน’ วิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นโดยการผลักให้เป็นปัญหาปัจเจกบุคคล พวกเขาประชาสัมพันธ์อย่างหนักให้คนตื่นตัวและเริ่มลดผลกระทบจาก ‘ตัวเอง’ ในขณะเดียวกันก็ออกแคมเปญที่พยายามทำให้ตัวเอง ‘เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม’ ซึ่งความจริงแล้วก็ไม่ได้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งหมด สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เราเรียกว่า ‘การฟอกเขียว’ (Greenwash)

ปัจจุบัน การฟอกเขียว มีอยู่ทุกหนแห่ง ไม่ว่าคุณจะกำลังเติมน้ำมัน จองตั๋วเครื่องบิน หรือเดินช็อปที่ซูเปอร์มาร์เก็ต คุณได้ตกเป็นเป้าหมายการตลาดฟอกเขียวที่โน้มน้าวว่าทุกอย่างกำลังไปได้ดี ทั้งเที่ยวบินไร้คาร์บอน น้ำมันที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาหารที่กำลังกิน ที่ถูกอ้างว่าทั้งหมดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (net-zero) แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่!
กลยุทธ์การฟอกเขียวนี่เองที่เอื้อให้การปล่อยมลพิษดำเนินต่อไป และพวกเราที่เป็นประชาชนทั่วไปก็เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ที่บางครั้งอาจถึงชีวิต
ล่าสุดรายงาน IPCC ระบุอย่างชัดเจนว่ามีกลยุทธ์การชะลอและเพิกเฉย ด้วยการใช้สื่อโฆษณาในการสื่อสารและเลือกที่จะ ‘ไม่นำเสนอ’ ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะใช้ในการออกนโยบายเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ด้านภาคประชาชนในสหภาพยุโรปรวมตัวกันในนาม ‘ภาคีความร่วมมือพลเมืองยุโรป (the European Citizens’ Initiative (ECI) )’ เพื่อรวบรวมรายชื่อประชาชน 1 ล้านรายชื่อ ภายใน 1 ปี เพื่อเรียกร้องกฎหมายใหม่ที่จะกำหนดห้ามไม่ให้มีการสนับสนุนหรือทำแคมเปญโฆษณาเกี่ยวกับเชื้อเพลิงฟอสซิลในสหภาพยุโรป โดยมุ่งหวังที่จะจำกัดการฟอกเขียวธุรกิจฟอสซิลผ่านสื่อโฆษณา
- กุสตาฟ มาร์ทเนอร์ อดีตผู้ชนะรางวัลคานส์ ไลอ้อนส์ และนักกิจกรรมกรีนพีซพูดถึงอุตสาหกรรมฟอสซิลในสื่อโฆษณา
- หลุมพรางของการฟอกเขียว (Greenwashing)
ในส่วนของประเทศไทยเอง ภาครัฐได้นำเสนอ “แผนที่นำทางการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2573 (Nationally Determinded Contributions-NDCs) และยุทธศาสตร์ระยะยาวในการพัฒนาแบบปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำของประเทศไทยฉบับปรับปรุง (Net Zero)” โดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน อย่างไรก็ตาม จากการวิเคราะห์แผนดังกล่าวเบื้องต้น ทำให้เกิดการตั้งคำถามหลายส่วนว่าเราสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและจะเป็นกลางทางคาร์บอนได้จริงหรือไม่? เรายังเห็นความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับการปลดระวางถ่านหินและเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน แต่เป้าหมายที่ชัดเจนคือการแปลงพื้นที่ป่าให้กลายเป็นสินค้าเพื่อซื้อขายคาร์บอน ผ่านแนวคิดการชดเชยคาร์บอน ที่ไม่ได้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ต้นเหตุแต่เป็นการฟอกเขียวในอีกรูปแบบหนึ่ง
การลดการใช้พลังงานจากถ่านหินจากเดิมลงจะช่วยให้เราลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในปริมาณมหาศาล โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าเราจะมีพลังงานไม่พอใช้ เพราะในปัจจุบันนี้ เรามีกำลังผลิตไฟฟ้าล้นระบบเกินความต้องการใช้ไฟฟ้าสูงสุดมากกว่าร้อยละ 40 และมีโรงไฟฟ้าส่วนเกินจากกำลังผลิตสำรอง 15% มีมากถึง 9,055 เมกะวัตต์

แล้วเราทำอะไรได้บ้างเพื่อหยุดการฟอกเขียวนี้ สิ่งที่เราทำได้คือการรวมพลังกันเพื่อบอกให้นักการเมืองและผู้กำหนดนโยบายของประเทศเห็นความสำคัญของวิกฤตสภาพภูมิอากาศต่ออนาคตของเรา สนับสนุนการเคลื่อนไหวของเยาวชน เข้าร่วมกับการเคลื่อนไหวในชุมชนท้องถิ่นเพื่อเรียกร้องถึงการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจัง
2.ปัญหาสิ่งแวดล้อม = ปัญหาสิทธิมนุษยชน การรวมตัวเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและปกป้องสิทธิของประชาชนและชุมชน
กล่าวได้ว่าตั้งแต่ต้นปี 2565 สถานการณ์ด้านชุมชนและสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยถือว่าน่าจับตามองอย่างมาก (ถ้าใช้ศัพท์วัยรุ่นหน่อยก็คงเป็นคำว่า เดือดมาก!) จากการต่อสู้ของเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินที่กินระยะเวลายาวนานมากว่า 10 ปี ในปีนี้กระบี่รอดพ้นจากโครงการโรงไฟฟ้ากระบี่แล้ว อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกันการขับเคลื่อนคัดค้านนิคมอุตสาหกรรมจะนะของเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่นที่เดินทางขึ้นมาทวงถามสัญญาจากรัฐบาล โดยเรียกร้องให้รัฐบาลยุติโครงการดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 รวมถึงขอให้จัดทำการศึกษาผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) แต่กลับถูกสลายการชุมชนและถูกจับกุมดำเนินคดีนอกจากนี้ยังมีการฟ้องเพิกถอนรายงาน EIA โครงการเหมืองถ่านหินอมก๋อย โดยผู้ฟ้องคือกลุ่มชุมชนกะเหรี่ยงโปว์ หมู่บ้านกะเบอะดิน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ซึ่งถือเป็นคดีสิ่งแวดล้อมคดีแรกในปี 2565
SEA ความหวังของชาวจะนะและการเรียกร้องให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจหากเกิดอุตสาหกรรมที่พื้นที่อาจได้รับผลกระทบ
การต่อสู้คัดค้านโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ ของเครือข่ายชุมชนจะนะรักษ์ถิ่น ถือเป็นอีกประเด็นร้อนที่ได้รับความสนใจจากประชาชนและสื่อมวลชน หลังจากเมื่อเดือนธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา ชาวบ้านเดินทางกว่า 1,000 กิโลเมตร เพื่อมาพูดคุยและทวงถามสัญญาที่รัฐบาลเคยให้ไว้ว่าจะยุติโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะ แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมและจับกุมพร้อมแจ้งข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จึงเป็นที่มาของการตั้งคำถามว่า ประชาชนเพียงแค่เดินทางมาเพื่อเจรจาพูดคุยแต่สิ่งที่รัฐกระทำคือการจับกุมประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่สมควรแล้วหรือ?

และหลังจากการรวมตัวเรียกร้องร้องรัฐให้จัดทำการประเมินผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์หรือ SEA ไปเมื่อปีที่แล้วและได้รับคำมั่นสัญญามา ทว่าปัจจุบันยังไร้วี่แววของหน่วยงานที่จะเข้ามาทำการศึกษา แตกต่างจากการทำข้อมูลการประเมินผลกระทบโดยชุมชนเอง ซึ่งตอนนี้ชุมชนรวบรวมข้อมูลได้มากถึง 70 % แล้วเพื่อย้ำว่าจะนะนั้นมีดีเกินกว่าที่จะกลายเป็นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรม
ในขณะเดียวกัน การดำเนินคดีกับเครือข่ายจะนะรักษ์ถิ่นทั้ง 37 คนก็เกิดขึ้นแล้ว หลังจากถูกสลายการชุมนุมเมื่อปลายปี 64 ตำรวจมีความเห็นสั่งฟ้องส่งตัวต่ออัยการ ใน 3 ข้อกล่าวหา ได้แก่ ความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จราจรฯ, พ.ร.บ.ความสะอาดฯ และขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน

ดร. เสาวรัจ รัตนคำฟู นักวิชาการจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) อธิบายว่า SEA คือกระบวนการการมีส่วนร่วม การนำเอามิติด้านสิ่งแวดล้อมเข้ามาวิเคราะห์พิจารณาร่วมเวลาที่เราทำแผนหรือนโยบาย เพราะการนำเอาทั้งมิติด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมเข้ามาพิจารณาร่วมกันจะทำให้การดำเนินการไปในทิศทางที่ยั่งยืน
“พอได้ยินแบบนี้แล้วเราก็คิดไม่ถึงว่ามันจะนำไปสู่การจับกุมดำเนินคดีกับชาวบ้าน”

อย่างไรก็ตามเครือข่ายยังมองว่า SEA คือความหวังในการต่อสู้คัดค้านครั้งนี้ แต่รัฐเองก็ต้องจริงใจกับประชาชนด้วย สิ่งสำคัญที่สุดคือจะต้องดำเนินการอย่างรอบคอบและต้องเปิดให้ทุกภาคส่วนที่จะได้รับผลกระทบเข้ามามีส่วนร่วมในการศึกษา ส่วนคนนอกพื้นที่และประชาชนที่ติดตามเรื่องนี้ก็จะต้องคอยจับตาดู และเรียนรู้จากกรณีของพื้นที่จะนะที่ชาวบ้านลุกขึ้นมาทำข้อมูลชุมชนเพื่อปกป้องบ้านเกิดของตัวเอง ให้กำลังใจสนับสนุนชาวบ้าน เพราะการได้รับกำลังใจจากคนทั่วประเทศนั้นก็เป็นกำลังสำคัญให้กับชาวจะนะเช่นเดียวกัน
ชุมชนกะเบอะดินรวมตัวค้าน ‘โครงการเหมืองถ่านหินอมก๋อย’ คัดง้าง EIA ด้วยข้อมูลทรัพยากรชุมชน สู่การฟ้องเพิกถอน EIA เมื่อเมษายนที่ผ่านมา
‘การทำข้อมูลชุมชนแบบที่ต้องช่วยกัน’ คือคำเรียกที่ชุมชนชาวกะเหรี่ยงโปว์ ในหมู่บ้านกะเบอะดิน อ.อมก๋อย จ.เชียงใหม่ ใช้เรียกวิธีการทำข้อมูลชุมชน Community Health Impact Assessment (CHIA)
ข้อมูลที่ชาวบ้านรวบรวมมา (มีชื่อว่า “จุดแสงสว่างกลางหุบเขา กะเบอะดิน ดินแดนมหัศจรรย์”) จะถูกนำไปใช้ในการฟ้องเพิกถอนรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ (EIA) ของเหมืองถ่านหินอมก๋อย เพราะชุมชนมีความกังวลว่าเหมืองถ่านหินอาจส่งผลกระทบระยะยาวต่อสุขภาพและวิถีชีวิตความเป็นอยู่ โดยการฟ้องครั้งนี้จะเป็นการท้าทายการทำรายงานอีไอเอซึ่งทำให้บริษัท 99 ธุวานนท์ จำกัด ได้ดำเนินโครงการ สิ่งที่ชาวบ้านอมก๋อยต้องการก็คือ ขอให้มีการเพิกถอนรายงานฉบับนี้และต้องการการจัดทำอีไอเอมีความโปร่งใสและมีการมีส่วนร่วมของผู้ได้รับผลกระทบมากขึ้น ถือเป็นคดีสิ่งแวดล้อมคดีแรกในปี 2565

เพราะคนในชุมชนทราบดีว่าพวกเขามีทรัพยากรอะไรบ้างและอุดมสมบูรณ์มากเพียงใด น้ำในลำห้วยเป็นส่วนสำคัญในการทำการเกษตรของคนในชุมชน ระบบนิเวศโดยรอบในพื้นที่ริมน้ำมีสัตว์น้ำและพืชพันธ์ุผักริมน้ำอยู่ไม่น้อย ยังมีหลายต่อหลายคนที่เป็นเจ้าของ “วัว” ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงเศรษฐกิจที่สะท้อนการสะสมทุนไว้เป็นก้อน และมีแปลงพืชผลทางการเกษตรที่เป็นรายได้หลักสำคัญของครัวเรือน และจะปฎิเสธไม่ได้ว่า “น้ำ” คือทรัพยากรสำคัญที่เป็นจุดเด่นของอมก๋อย เพราะที่นี่เป็นเมืองแห่งต้นน้ำ ทำให้ป่าอุดมสมบูรณ์ อมก๋อยจึงเป็นเมืองศักยภาพที่มีอากาศดีแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ที่เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวจากต่างถิ่น
สิ่งที่ชุมชนตั้งคำถามต่อ EIA ฉบับนี้ก็คือความย้อนแย้งเกี่ยวกับข้อมูลด้านทรัพยากรในรายงานกับทรัพยากรจริงๆอย่างที่อมก๋อยเป็นอยู่ และนี่จึงทำให้ชุมชนพยายามจะสื่อสารกับสาธารณะมาโดยตลอด ว่าบ้านกะเบอะดินเป็นพื้นที่ที่ต้องช่วยกันปกป้อง และโครงการเหมืองไม่ใช่สิ่งที่ชุมชนต้องการ เป็นการตอกย้ำว่า ที่ผ่านมายังมีการแย่งยึดที่ดิน มีความเหลื่อมล้ำ และการทำอีไอเอมีปัญหา ซึ่งไม่สามารถใช้ในการตัดสินใจได้แต่กลายเป็นเครื่องมือทางผ่านให้เกิดโครงการ

‘วันที่กระบี่ไม่มีถ่านหิน’ เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินประกาศชัยชนะ ปิดฉากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ เดินหน้าสู่เมืองพลังงานหมุนเวียน
ในเดือนมิถุนายน 2565 เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินระบุว่า จากการประเมินผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ (SEA) ที่ศึกษาโดยมหาวิทยาลัยนิด้า และกระทรวงพลังงานเป็นผู้จัดทำรายงานมีผลการศึกษาออกมาแล้วว่า “กระบี่รอดพ้นจากโครงการถ่านหิน 100 %” (อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากพลังงานหมุนเวียน โครงการโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลยังคงถูกเสนอให้เป็นทางเลือกของความมั่นคงทางพลังงานในภาคใต้)

ทางเครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหิน ถือโอกาสประกาศชัยชนะต่อสาธารณะว่า ด้วยพลังประชาชนทำให้วันนี้ กระบี่และอันดามันปลอดภัยจากถ่านหินแล้ว และกำลังจะมุ่งหน้าเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียน 100%
เป็นระยะเวลาร่วมสิบปีที่เครือข่ายปกป้องอันดามันจากถ่านหินต่อสู้คัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ – เทพา หลังจากรัฐบาลไทยเผยแพร่แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2553 – 2573 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 3 (แผน PDP 2010 Revision 3) ที่มีแผนจะสร้างโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีกำลังผลิตไฟฟ้ารวม 4,400 เมกะวัตต์ จึงเกิดการรวมตัวกันของผู้ประกอบการท่องเที่ยว ชุมชนท้องถิ่นรวมตัวกันเพื่อคัดค้านโครงการดังกล่าว เนื่องจากกังวลถึงผลกระทบของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินที่อาจเกิดต่อสุขภาพ เกษตรกรรม ท่องเที่ยว และระบบนิเวศในทะเล รวมถึงยังเป็นตัวการที่เร่งให้เกิดวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

จากแรงผลักดันของประชาชน ทำให้รัฐประกาศใช้ค่ามาตรฐานใหม่ฝุ่น PM2.5
จากการรณรงค์ ‘ขออากาศดีคืนมา (Right to Clean Air)’ ของกรีนพีซ ประเทศไทย จนกระทั่งในปี 2561 เราผลักดันให้กรมควบคุมมลพิษดำเนินการทดสอบระบบการรายงานคุณภาพอากาศตามดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ใหม่ โดยปรับปรุงดัชนีคุณภาพอากาศโดยใช้ค่าฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ PM2.5 ในการคำนวณ
และในปีนี้เรายังคงร่วมกับภาคีเครือข่ายภาคประชาชนผลักดันกระบวนการทางกฎหมายให้หน่วยงานรัฐเร่งรัดการแก้ไขปัญหา PM2.5 อย่างต่อเนื่อง ในวันที่ 11 พฤษภาคม 2565 คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้เห็นชอบการปรับค่ามาตรฐาน PM2.5 ในบรรยากาศโดยทั่วไป จากค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ที่ค่ามาตรฐานเดิมไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และค่าเฉลี่ยรายปีที่ค่ามาตรฐานเดิม 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ปรับเป็นค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงที่ 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2566 และค่าเฉลี่ยรายปีเป็น 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 24 มิถุนายน 2565 ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะสามารถลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรอันเนื่องมาจาก PM 2.5 ได้ถึงร้อยละ 31หรือ 9,000 คนต่อปี

เราเห็นว่า รัฐบาลไทยต้องให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติตามค่าแนะนำคุณภาพอากาศฉบับใหม่ของ WHO โดยมียุทธศาสตร์และแผนการดำเนินการที่ระบุเวลาชัดเจน เช่น การควบคุมและกำจัดแหล่งกำเนิด PM2.5 ด้วยการเลิกใช้ถ่านหินและเชื้อเพลิงฟอสซิล และเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน การแก้ปัญหาหมอกควันข้ามพรมแดน นำการออกแบบเมืองยั่งยืนมาประยุกต์ใช้ให้เป็นรูปธรรม และกำหนดมาตรฐาน PM2.5 ของประเทศให้เป็นไปตามแนวทางของ WHO เพื่อปกป้องชีวิตของประชาชน
จากอ่าวไทยถึงรัฐสภา : เครือข่ายประมงพื้นบ้านเดินเรือยื่นหนังสือเรียกร้องรัฐบังคับใช้กฎหมายควบคุมการจับสัตว์น้ำวัยอ่อน

หลายปีที่ผ่านมา ชาวประมงพื้นบ้านจึงรวมตัวกันรณรงค์ให้หยุดซื้อ-จับ-ขาย สัตว์น้ำวัยอ่อน พวกเขาร่วมกันทำบ้านปลา ซึ่งเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อน สร้างข้อตกลงในชุมชนไม่จับสัตว์น้ำบริเวณดังกล่าว สื่อสารวิกฤตครั้งนี้กับสังคมเรื่อยมา ล่าสุดในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เครือข่ายประมงพื้นบ้าน 23 จังหวัด รวมตัวเดินเรือจากปัตตานีขึ้นมายังรัฐสภาไทยเพื่อยื่นหนังสือเรียกร้องให้รัฐบาลเริ่มบังคับใช้กฎหมายควบคุมสัตว์น้ำวัยอ่อน ในภารกิจที่ชื่อว่า “ทวงคืนน้ำพริกปลาทู” ซึ่งแสดงถึงความพยายามปกป้อง “ปลาทู” ตัวแทนความมั่นคงทางอาหาร วัฒนธรรม และทรัพยากรทางธรรมชาติที่กำลังจะสูญหายไป

ทางเครือข่ายมองว่าที่ผ่านมา การรณรงค์โดยลำพังปราศจากการเข้ามาควบคุมด้วยเครื่องมือของรัฐไม่ได้ผลเท่าที่ควร การเรียกร้องให้เริ่มบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวอาจเป็นทางออกที่จะปกป้องความมั่นคงทางอาหาร (จากทะเลไทย) ได้
3.สงคราม วิกฤตความมั่นคงทางอาหาร วิกฤตสภาพภูมิอากาศ และระบบอาหารที่ล้มเหลว ข้อมูลจากรายงาน IPCC ย้ำว่าอาหารที่เน้นพืชผักจะช่วยให้เราต่อกรกับภาวะโลกร้อน
สงครามรัสเซีย – ยูเครน ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีส่งผลกระทบเป็นวงกว้างทั้งต่อระบบอาหารของโลกที่พึ่งพาการผลิตเชิงอุตสาหกรรมและพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล เมื่อรัสเซียไม่หยุดบุกโจมตียูเครนก็ทำให้ยูเครนไม่สามารถเพาะปลูกพืชได้อย่างเต็มที่ในช่วงฤดูกาลเพาะปลูกที่เกิดขึ้นในเดือนเมษายน
ทั้งนี้ ข้อมูลที่น่าสนใจคือ รัสเซียและยูเครนเป็นหนึ่งในสองประเทศที่ส่งออกธัญพืชมากที่สุดของโลก โดยประเทศ 5 อันดับแรกตามสถิติในปี 2564 คือ รัสเซีย 17.7% สหรัฐอเมริกา 14.1% แคนาดา 14.1% ฝรั่งเศส 10.1% ยูเครน 8%
สำหรับพลเมืองโลก สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครนนั้นกำลังส่งผลต่ออุปทานธัญพืช ทำให้ราคาอาหารทะยานสูงขึ้น เนื่องจากสองประเทศนี้เป็นฐานการผลิตสำคัญ โดยถือครองสัดส่วนการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 12 ของโลก ในจำนวนนี้มีการส่งออกข้าวสาลีและข้าวโพดจากยูเครนร้อยละ 40 ไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประสบปัญหาความหิวโหยของประชาชนและการขาดแคลนอาหาร การที่ราคาอาหารเพิ่มสูงขึ้นนั้นยิ่งตอกย้ำซ้ำเติมวิกฤตความมั่นคงทางอาหาร ซึ่งเดิมรุนแรงอยู่แล้วจากวิกฤต Covid-19 และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้ประชากร 1 ใน 10 คน ประสบปัญหามีอาหารไม่พอกิน

ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าของยูเครน มีการซื้อข้าวสาลีจากยูเครนสูงสุดเป็นอันดับที่ 6 ของโลก ทำรายได้ให้กับยูเครนมูลค่า 789.14 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงระหว่างปี 2559-2563 โดยข้าวสาลีนั้นเป็นหนึ่งในวัตถุดิบสำคัญสำหรับอาหารสัตว์ของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ ที่ไทยนั้นเป็นผู้ผลิตอันดับต้นของโลก ทั้งด้านการส่งออกเนื้อไก่และอาหารสัตว์
เดิมทีแม้ก่อนภาวะสงครามและโรคระบาดโควิด 19 ระบบอาหารเชิงอุตสาหกรรมก็ไม่ใช่ทางออกที่ยั่งยืนของปัญหาความหิวโหยและสิ่งแวดล้อม ทั้งเรื่องวิกฤตโลกร้อน ความแห้งแล้ง การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าเป็นพื้นที่เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ระดับอุตสาหกรรมที่ขยายตัวไปเรื่อย ๆ และสารพิษต่าง ๆ รูปแบบการทำเกษตรแบบอุตสาหกรรมที่ผลิตครั้งละมาก ๆ พึ่งพาปุ๋ยครั้งละมาก ๆ นั้น มาพร้อมกับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ร้ายแรง
สงครามที่เกิดขึ้นในยูเครนเป็นอีกวิกฤตที่ตอกย้ำว่าระบบอาหารของโลกที่พึ่งพาการผลิตระดับใหญ่ ผ่านการนำเข้า แทนที่จะเป็นการผลิตบนฐานเกษตรกรในประเทศ ประกอบกับการใช้ปุ๋ยเคมีจำนวนมากซึ่งมีเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นธาตุอาหารของพืชนั้น เป็นความเปราะบางของระบบอาหารเชิงอุตสาหกรรม ไม่ยั่งยืน เสี่ยงต่อการล่มสลาย ส่งผลกระทบต่อประเทศที่ยากจนอย่างรุนแรง และไม่สามารถเลี้ยงคนบนโลกได้อย่างแท้จริง นี่คือความไม่มั่นคงทางอาหาร
- วิกฤตความมั่นคงทางอาหาร เกิดขึ้นแล้วจริงหรือ?
- แม่แจ่ม ข้าวโพด หมอกควัน และบริษัทอาหารสัตว์รายใหญ่
- ทำไมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ชวนตั้งคำถามกับ วิทยา ครองทรัพย์ สภาลมหายใจภาคเหนือ
ข้อมูลจากรายงาน IPCC ยืนยันถึงการกินอาหารที่เน้นพืชผักท้องถิ่นแทนระบบอาหารเชิงอุตสาหกรรมจะช่วยกู้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ
นอกเหนือจากภัยสงครามที่สร้างผลกระทบแล้ว เหตุการณ์ที่น่ากังวลพอๆกันคือระบบอาหารเชิงอุตสาหกรรมเชื่อมโยงกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศเนื่องจากระบบดังกล่าวปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมหาศาล คณะทำงานระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ออกรายงานการประเมินครั้งที่ 6 ฉบับที่ 3 ต่อรัฐบาลทั่วโลก โดยในรายงานล่าสุดนี้เป็นข้อสรุปถึงมาตรการที่รัฐบาลควรนำมาใช้เพื่อให้ผลกระทบจากวิกฤตโลกร้อนเกิดขึ้นน้อยที่สุด ย้ำอีกครั้งว่า เพื่อไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงกว่า 1.5 องศาเซลเซียส มนุษย์จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโลกลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2573 และมุ่งสู่การปล่อยเหลือศูนย์

นอกจากคำแนะนำให้โลกยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดแล้ว ความคืบหน้าครั้งใหญ่ของรายงานฉบับนี้คือการย้ำถึงความสำคัญของระบบอาหารที่เน้นผักหรือ แพลนท์เบส (plant-based food system) จำเป็นต่อการต่อกรกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ทั้งนี้ มาตรการที่รายงาน IPCC แนะนำเพื่อเปลี่ยนสู่ระบบอาหารที่เน้นพืชผักและการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่เป็นเรื่องที่นักวิชาการและองค์กรภาคประชาสังคมเรียกร้องมายาวนาน เช่น ลดการผลิตเนื้อสัตว์ระดับอุตสาหกรรม การเก็บภาษีคาร์บอนกับผลิตภัณฑ์อาหาร ปรับปรุงนโยบายการค้าระหว่างประเทศ ควบคุมการตลาดและการโฆษณาของบริษัทอาหาร ติดฉลากผลิตภัณฑ์อาหารที่บอกข้อมูลเรื่องการผลิตและก๊าซเรือนกระจก เป็นต้น
4.วิกฤตมลพิษพลาสติก กับคำถามถึงผู้ผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง
ที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีความพยายามลดมลพิษพลาสติก ไม่ว่าจะเป็น Road map การจัดการขยะพลาสติก การประกาศงดแจกถุงพลาสติกตามห้างสรรพสินค้า รวมถึงเชิญชวนให้ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม อย่างการพกถุงผ้า กระบอกน้ำส่วนตัว และแยกขยะพลาสติกประเภทต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่กระบวนการรีไซเคิล แต่มลพิษพลาสติกไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลย อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนกว่าล้านคนทั่วโลกออกมาเรียกร้องเรื่องนี้ ทำให้รัฐบาลทั่วโลกเริ่มรับรู้ว่าทางเดียวที่จะแก้ปัญหามลพิษพลาสติกได้ก็คือการเปลี่ยนไปสู่ระบบการใช้ซ้ำ
ผลักดันเชิงนโยบายทั่วโลกด้วย Global Plastics Treaty
ที่ผ่านมา เราได้เห็นการเปลี่ยนผ่านอย่างค่อยเป็นค่อยไปของโมเดลธุรกิจที่ใช้ระบบการใช้ซ้ำและการเติมเกิดขึ้นทั่วโลก แต่ถึงเวลาของเราแล้วที่จะต้องลงมือขยายระบบดังกล่าวไปสู่อุตสาหกรรมและชุมชนให้รวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการผลักดันผ่านนโยบายและกฎหมายในช่วงต้นปีที่ผ่านมา กรีนพีซสากลและภาคประชาชนที่ขับเคลื่อนเรื่องพลาสติกได้เข้าร่วมเจรจา ข้อตกลงที่ชื่อว่า สนธิสัญญาพลาสติกระดับโลก “Global Plastics Treaty” ซึ่งเป็นสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่มีความเข้มแข็ง และนี่คือสิ่งที่เราต้องการให้รัฐบาลทั่วโลกและกลุ่มธุรกิจยักษ์ใหญ่ต้องลดรอยเท้าพลาสติกที่พวกเขาผลิตออกมาทันทีและเปลี่ยนไปสู่ระบบใช้ซ้ำและการเติม ข่าวดีอย่างหนึ่งคือ เมื่อเร็ว ๆ นี้ เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและการแก้ไขนโยบายสำคัญที่เกี่ยวกับการใช้ซ้ำเกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งถือเป็นสิ่งที่น่าจับตามอง

เพื่อรับมือกับมลพิษพลาสติกและวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เราต้องการให้กลุ่มรัฐบาลมาร่วมกันกำหนดนโยบายเพื่อพัฒนาระบบพื้นฐานยของการนำกลับมาใช้ซ้ำ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เรามีโอกาสครั้งสำคัญที่จะ ‘ปฏิวัติการใช้ซ้ำ’ ( Reuse Revolution ) ผ่านสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่ถูกกำหนดขึ้นเป็นกรอบการทำงานสำหรับแต่ละประเทศเพื่อลดการผลิตพลาสติกและการบริโภค รวมทั้งเป็นกรอบในการมุ่งสู่อนาคตที่ไร้พลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้ง และการออกกฎหมายเหล่านี้จำเป็นต้องนำเอาระบบการใช้ซ้ำและการเติมเข้าไปพิจารณาร่วมกันอีกด้วย
- แฟมิลี่ มาร์ท ในไต้หวันจัดทำระบบมัดจำแก้วสำเร็จ!
- โคคา-โคล่า กับ เป๊ปซี่ ใครจะก้าวมาเป็นผู้นำสร้างระบบใช้ซ้ำและระบบเติม
- มลพิษพลาสติกในทะเล ใครควรเป็นคนรับผิดชอบ?
แพลตฟอร์ม ‘สืบจากขยะ’ เพื่อรวมตัวประชาชนยอดนักสืบ หาที่มาของปัญหาขยะพลาสติกและผู้รับผิดชอบ
ในปีนี้กรีนพีซ ประเทศไทยเองยังคงรณรงค์การลดใช้พลาสติกจากต้นทางและรณรงค์ให้ผู้ผลิตเข้ามามีส่วนมีความรับผิดชอบต่อมลพิษพลาสติกที่ตนเองก่อขึ้น ซึ่งเราหวังว่าจะทำให้ผู้ก่อมลพิษเหล่านี้ลดการฟอกเขียวที่มักผลักปัญหาขยะพลาสติกให้ผู้บริโภคฝ่ายเดียว ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ชวนทุกคนมาเป็นนักสืบ ‘สืบจากขยะ ใครกันที่ต้องรับผิดชอบ’ มองหาต้นทางของปัญหามลพิษผ่านข้อมูลการเก็บและบันทึกข้อมูลของอาสาสมัครกรีนพีซ และเครือข่ายต่าง ๆ เพื่อแสดงให้เห็นว่าบริษัทผู้ผลิตแบรนด์ใดทั้งไทยและต่างประเทศที่มีขยะตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สำรวจมากที่สุด และควรมีความรับผิดชอบต่อมลพิษที่เกิดขึ้นจากสินค้าของตัวเอง
นอกจากนี้ เรายังเปิดให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างฐานข้อมูลขยะพลาสติกที่พบเจอในสิ่งแวดล้อมได้ เพียงแค่เก็บขยะในชุมชนของตัวเอง หรือตามสถานที่ที่ต้องการสำรวจขยะ แล้วส่งข้อมูลมาเพื่อรวบรวมไว้ในแพลตฟอร์มนี้ได้อีกด้วย
ในอีกด้าน มลพิษพลาสติกเชื่อมโยงกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างมีนัยสำคัญ เพราะพลาสติกเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล พลาสติกทำมาจากน้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ เวลาขุดขึ้นมาต้องใช้พลังงานเยอะมาก ไปจนถึงการกำจัด พลาสติกมีส่วนทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทุกขั้นตอน เพราะผลิตจากก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน กระบวนการจัดการขยะพลาสติกก็ส่งผลกระทบไม่แพ้กัน แถมยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมหาศาล และด้วยเหตุผลนี้เองในการเจรจา สนธิสัญญาพลาสติกระดับโลก ก็จะพูดคุยในประเด็นที่ครอบคลุมถึงอุตสาหกรรมฟอสซิลเพื่อลดการผลิตพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง (single-use plastic) อีกด้วย

ในปี 2565 นี้ถือเป็นปีที่มีสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นมากมายและทุก ๆ ประเด็นจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ซึ่งผลกระทบที่หนักหน่วงและกว้างมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ อย่างในประเทศไทยเองก็จะได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน เพราะเราเป็นประเทศอันดับต้นๆของโลกที่มีความเสี่ยงสูงต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ดังนั้น รัฐไทยเองไม่ควรละเลยปัญหานี้หรือออกมาตรการในระดับผิวเผิน
กรีนพีซ ประเทศไทยเรียกร้องให้รัฐสภาไทยประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศ เพื่อออกกฎหมายหรือวางมาตรการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างจริงจังมากกว่าแค่การฟอกเขียวอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน