
นอกจากการสร้างความปั่นป่วนให้ทั่วโลกด้วยนโยบายกำแพงภาษีของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะเศรษฐกิจถดถอย กรณีการตัดงบประมาณความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่อาจทำให้ผู้คนทั่วโลกต้องทุกข์ทรมานจากความไม่เป็นธรรมมากกว่าเดิม กรณีการตัดงบสื่อมวลชนที่พยายามนำเสนอข้อมูลข่าวสารแบบไม่ถูกปิดกั้นและบิดเบือน จนมีผู้คนมากมายให้ความเห็นว่าการกระทำเช่นนี้คือการลิดรอนสิทธิและเสรีภาพด้านข้อมูลข่าวสาร ยังมีอีกกรณีหนึ่งที่ประธานาธิบดีและคณะบริหารชุดนี้เข้าไปสร้างความปั่นป่วนให้เกิดไปทั่วโลกนั่นคือประเด็นวิกฤตสภาพภูมิอากาศและการรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม
ถอนตัวออกจากความตกลงปารีส สัญญะสำคัญของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่ถอยหลังลงคลอง
จากที่เราได้ยินในข่าวก่อนหน้านี้ที่ว่า ทรัมป์ ประกาศถอนสหรัฐอเมริกาออกจากความตกลงปารีส (Paris Agreement) แสดงเจตนารมย์สนับสนุนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลเต็มกำลัง รวมทั้งตัดการกล่าวถึงวิกฤตสภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อนออกจากเว็บไซต์ของรัฐบาลอีกด้วย
แน่นอนว่ามันไม่ได้จบเพียงเท่านั้น แต่ตามมาด้วยการพลิกการดำเนินนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมครั้งมโหฬาร ดังนี้
ยกเลิกหรือผ่อนคลายกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมมากกว่า 100 ฉบับ ลดงบประมาณสำหรับพลังงานสะอาด และการสนับสนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล นอกจากนี้ ยังมีการลบข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศออกจากเว็บไซต์ของหน่วยงานรัฐบาล เช่น EPA และกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลสำคัญยิ่งที่นักรณรงค์ด้าสภาพภูมิอากาศทั้งในสหรัฐ ฯ และอีกหลากหลายประเทศใช้เพื่อเป็นฐานข้อมูลสำหรับรณรงค์ให้ผู้คนตระหนักถึงวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และเรียกร้องให้เหล่าผู้นำโลกต้องออกมาตรการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง รวมทั้งกดดันอุตสาหกรรมผู้ก่อโลกเดือดทั้งหลายต้องลดการปล่อยมลพิษและชดเชยความสูญเสียและเสียหายต่อชุมชนและผู้คนที่ได้รับผลกระทบ

ลดงบประมาณและยกเลิกโครงการวิจัยสำคัญ รวมทั้งการแทรกแซง จำกัดบทบาทของนักวิทยาศาสตร์ รัฐบาลทรัมป์ตัดงบประมาณของหน่วยงานวิจัยสำคัญหลายแห่ง เช่น สำนักงานบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) ลงถึง 27% ซึ่งส่งผลให้การวิจัยด้านสภาพอากาศและการพยากรณ์อากาศทั่วโลกได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทำให้นักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานในหน่วยงานของรัฐ เช่น EPA และ NOAA เผชิญกับการลดตำแหน่งงานและการแทรกแซงทางการเมือง ซึ่งส่งผลต่อความเป็นอิสระในการวิจัยและการสื่อสารข้อมูลสู่สาธารณะ
ยิ่งไปว่านั้น ยังยุติการสนับสนุนโครงการวิจัยสภาพภูมิอากาศระดับชาติ (USGCRP) ซึ่งเป็นโครงการหลักในการจัดทำรายงานการประเมินสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (National Climate Assessment) ที่มีความสำคัญต่อการวางนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม

ส่งเสริมการผลิตน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซฟอสซิล
ทรัมป์ผลักดันนโยบาย “Energy Dominance” หรือ “ความเป็นเจ้าแห่งพลังงาน” ซึ่งเน้นการผลิตน้ำมัน ก๊าซฟอสซิล และถ่านหินในประเทศให้มากที่สุด เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าและสร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยเฉพาะผ่านการอนุญาตให้ขุดเจาะในเขตป่าไม้ เขตพื้นที่ต้นน้ำหรือแหล่งน้ำสาธารณะ และอาร์กติก เร่งอนุมัติโครงการท่อส่งน้ำมัน เช่น Keystone XL และ Dakota Access Pipeline ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และล่าสุดจากนโยบายกำแพงภาษีของตนเองยังทำให้เกิดการเร่งออกใบอนุญาตทำเหมืองทั่วประเทศเพื่อขุดเจาะแร่หายากในพื้นที่ที่ก่อนหน้านี้มีการปกป้อง เช่น อุทยานแห่งชาติ อีกด้วย นโยบายนี้มีแนวโน้มจะยิ่งทำให้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ (ที่เลวร้ายอยู่แล้ว) และความไม่เป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก
ความสูญเสียและเสียหายจากผลพวงของกลุ่มทุนพลังงานฟอสซิล
การปล่อยให้กลุ่มทุนพลังงานฟอสซิลมีอำนาจชี้นำทิศทางนโยบายพลังงาน ไม่เพียงส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการในระยะยาวของประเทศได้ แต่ยังทำให้ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนเพิ่มสูงขึ้น ทั้งในรูปแบบของมลพิษ ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น และผลกระทบต่อแหล่งน้ำ อากาศ และความมั่นคงด้านอาหาร
รัฐบาลทรัมป์ได้ยกเลิกและผ่อนปรนข้อบังคับหลายประการที่เคยออกโดยรัฐบาลก่อน เช่น กฎ Clean Power Plan ที่มุ่งลดการปล่อยคาร์บอนจากโรงไฟฟ้า และข้อกำหนดในการควบคุมการรั่วไหลของก๊าซมีเทนจากการขุดเจาะก๊าซฟอสซิลและน้ำมัน และแต่งตั้งบุคคลจากอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิลเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญ เช่น การแต่งตั้ง Scott Pruitt ซึ่งเคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอุตสาหกรรมพลังงานฟอสซิล เป็นผู้อำนวยการสำนักงานคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (EPA) และ Rex Tillerson อดีตซีอีโอของ ExxonMobil เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อีกทั้งได้ลงนามยกเลิกเงินทุนสนับสนุนสำหรับโครงการพลังงานสะอาดสองโครงการ และอีกประมาณ 300 โครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพลังงานก็อยู่ในภาวะเสี่ยง เพราะทรัมป์ลดการสนับสนุนการลงทุนในพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม พร้อมกับส่งเสริมการใช้พลังงานฟอสซิลและน้ำมันในฐานะ “พลังงานสะอาด” โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

การตัดสินใจยกเลิกนโยบายเหล่านี้ของทรัมป์ไม่ได้แค่ล้มเหลวในการปกป้องอนาคตของประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิ่มภาระทางเศรษฐกิจและสังคมให้กับคนรุ่นปัจจุบันอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะกลุ่มคนที่เปราะบางที่สุดที่ต้องแบกรับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและราคาพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นอย่างไม่รู้จบ ท่ามกลางการพยายามที่จะรักษาความเชื่อมั่นต่อความมั่นคงทางพลังงานในพลังงานฟอสซิลที่เก่าคร่ำครึ ขณะที่โลกกำลังมุ่งหน้าไปที่การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม ที่ต้องเกิดขึ้นเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
แต่ในขณะเดียวกันคณะทำงานของทรัมป์เร่งรัดสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้น ยังมีประชาชนจำนวนมากที่ต้องเผชิญกับคลื่นความร้อน ภัยแล้ง ฤดูพายุไต้ฝุ่น และเฮอริเคน ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รวมถึงน้ำท่วม ซึ่งล้วนทวีความรุนแรงขึ้นจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ณ ตอนนี้ ผู้นำโลกกำลังล้มเหลวในการดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และผู้คนนับล้านทั่วโลกต้องพลัดถิ่นและเผชิญกับความหายนะจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว บรรษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อวิกฤตกลับยังคงกอบโกยผลกำไรเป็นพันล้าน พร้อมทั้งบ่อนทำลายการเจรจาสภาพภูมิอากาศระดับโลกและขัดขวางการเปลี่ยนแปลง
มหาสมุทรวิกฤต หลังเปิดพื้นที่ให้อุตสาหกรรมเข้าไปตักตวงได้อย่างเต็มที่
อีกข่าวที่น่าตกใจและน่ากังวลนั่นคือ เมื่อ 17 เมษายน ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งบริหารที่อนุญาตให้มีการทำประมงพาณิชย์ในพื้นที่อนุรักษ์ทางทะเลขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ Pacific Remote Islands Marine National Monument (PRIMNM) ทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวเคยถูกปิดเพื่อการอนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 490,000 ตารางไมล์ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฮาวาย
คำสั่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบาย “America First Fishing Policy” โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการผลิตอาหารทะเลภายในประเทศ ลดการพึ่งพาการนำเข้า และสนับสนุนอุตสาหกรรมประมงของสหรัฐฯ
© Christian Åslund / Greenpeaceแม้ว่าอุตสาหกรรมประมงจะยินดีกับคำสั่งนี้ พวกเขามองว่าเป็นโอกาสในการขยายการผลิตและลดการพึ่งพาการนำเข้าอาหารทะเล ซึ่งปัจจุบันสหรัฐฯ นำเข้าอาหารทะเลถึงประมาณ 90% ของการบริโภคทั้งหมด แต่นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมและนักวิทยาศาสตร์แสดงความกังวลว่า การเปิดพื้นที่อนุรักษ์ให้กับการประมงพาณิชย์อาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล โดยเฉพาะต่อสัตว์ทะเลที่ใกล้สูญพันธุ์ เช่น เต่าทะเลสายพันธุ์ Hawksbill และ Kemp’s Ridley และเรียกร้องให้มีการทบทวนคำสั่งดังกล่าว โดยเน้นถึงความสำคัญของการปกป้องพื้นที่ทางทะเลที่มีความสำคัญต่อระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ
อย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายของทะเลและมหาสมุทรยังไม่จบเท่านี้ เพราะล่าสุด โดนัลด์ ทรัมป์ เซ็นลงนามคำสั่งบริหารสนุบสนุนอุตสาหกรรมเหมืองทะเลลึก เพื่อเข้าถึงแร่นิกเกิล ทองแดง และแร่หายากอื่น ๆ โดยอ้างถึงการพึ่งพาตนเองลดการนำเข้าแร่หายากจากประเทศอื่น ๆ
ปัจจุบัน บริษัทอุตสาหกรรมที่จะทำเหมือง ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการทำเหมืองจะกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร เครื่องจักรขนาดใหญ่ที่จะถูกส่งลงใต้ก้นมหาสมุทร จะก่อให้เกิดตะกอนฟุ้งกระจาย แค่นี้ก็จะสร้างมลพิษในมหาสมุทรแปซิฟิกอย่างมหาศาลแล้ว การฟุ้งกระจายของตะกอนมันสามารถกระจายไปหลายไมล์ และจะกระทบชีวิตสิ่งมีชีวิตในทะเลจำนวนมาก

ยิ่งปฏิเสธภาวะโลกเดือด วิกฤตสิทธิมนุษยชนก็ยิ่งเลวร้าย
การยืนยันอย่างหัวชนฝาของทรัมป์ว่า “โลกไม่ได้เดือด” ไม่เพียงแต่สะท้อนการเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น หากยังเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อหลักความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศที่ควรเป็นพื้นฐานของโลกที่เท่าเทียม เพราะในขณะที่ผู้นำของหนึ่งในประเทศมหาอำนาจเลือกจะปิดตาข้างหนึ่ง กลุ่มคนเปราะบางในประเทศยากจนต้องเผชิญกับไฟป่า น้ำท่วม ภัยแล้ง และความอดอยากอย่างไร้ทางเลือก จากผลกระทบของวิกฤตโลกเดือด
ยิ่งไปกว่านั้น ทรัมป์ยังเดินหน้านโยบายที่จำกัดบทบาทของภาคประชาสังคมที่ทำงานเกี่ยวกับสิทธิด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นนักกิจกรรม นักปกป้องสิทธิ หรือองค์กรรณรงค์ พวกเขากำลังตกอยู่ในความเสี่ยงต่อการถูกโจมตีต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมประท้วง มิหนำซ้ำยังถูกละเลยการมีส่วนร่วมอย่างมีความหมายในกระบวนการตัดสินใจที่ส่งผลต่อโลกและชีวิตของพวกเขาโดยตรง ทั้งหมดนี้คือฉากหลังของการเมืองที่เลือกจะยืนเคียงข้างบรรษัทพลังงานฟอสซิล มากกว่าผู้คนที่ต้องอยู่กับผลกระทบของวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศที่รุนแรง จนกลายเป็นวิกฤตสิทธิมนุษยชน
นโยบาย Anti-Climate ของทรัมป์ ลิดรอนสิทธิการแสดงออก และทำให้นักรณรงค์ด้านสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมเสี่ยงอันตรายมากขึ้น
การบีบบังคับให้นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมเงียบเสียงลง ทรัมป์มีแนวคิดและการเสนอคำสั่งบริหารที่จะจำกัดการดำเนินงานขององค์กรรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะกลุ่มที่เคลื่อนไหวเชิงกฎหมายหรือวิพากษ์รัฐบาล ทำให้องค์กรเหล่านี้เสี่ยงต่อการถูกเพิกถอนสถานะและอาจต้องหยุดการรณรงค์ ซึ่งถือเป็นการใช้อำนาจปิดปาก ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
© Stephanie Keith / Greenpeace




