แม้ภาพของวิกฤตทางสภาพภูมิอากาศจะมักถูกเชื่อมโยงกับธารน้ำแข็งที่ขั้วโลก หรือภัยแล้งในดินแดนอันห่างไกล แต่ความจริงแล้ว ประเทศไทยโดยเฉพาะหลายจังหวัดที่เปราะบางคือหนึ่งในพื้นที่ที่กำลังเผชิญกับวิกฤต “โลกเดือด” รุนแรงและกำลังส่งต่อทั้งความสูญเสียและเสียหายอย่างไม่หยุดยั้ง

ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2568 ภาคเหนือของประเทศไทยเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมฉับพลันและดินถล่มจากฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในจังหวัดน่าน ลำปาง เชียงราย และเพชรบูรณ์ ส่งผลให้ประชาชนกว่า 2,200 คนได้รับผลกระทบ และมีบ้านเรือนประมาณ 600 หลังถูกน้ำท่วม
ตามรายงานของ GDACS (Global Disaster Alert and Coordination System) และ ADINet ระบุถึงเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นทำให้บ้านหลังหนึ่งในจังหวัดน่านพังเสียหายจากดินถล่ม อีกทั้งยังคาดการณ์ว่าอาจยังคงมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ เสี่ยงต่อการเกิดอุทกภัยและภัยพิบัติเพิ่มเติม โดยระบบแจ้งเตือนภัยพิบัติของ GDACS ได้มีการเฝ้าระวังและเผยแพร่ข้อมูลเพื่อการเตรียมพร้อมและประสานความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
ภาคเหนือของประเทศไทย (จังหวัดน่าน ลำปาง เชียงราย เพชรบูรณ์) ได้รับผลกระทบจากฝนตกหนักติดต่อกัน ทำให้เกิดสถานการณ์น้ำท่วมและ ดินถล่ม ในบางพื้นที่เกิดเหตุการณ์ดินถล่มที่จังหวัดน่าน จนทำให้บ้านหนึ่งหลังได้รับความเสียหาย ตามรายงานของเครือข่าย ASEAN Disaster Information Network (ADINet) ณ วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 มีประชาชนได้รับผลกระทบราว 2,200 คน และ บ้านเรือนถูกน้ำท่วมประมาณ 600 หลัง

วิกฤตสภาพภูมิอากาศนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่ค่อย ๆ สะสมและรุนแรงขึ้น จะเห็นได้จากพายุหมุนเขตร้อนที่เราเห็นตามการรายงานข่าวว่าเร็วขึ้น แรงขึ้น และเกิดบ่อยขึ้นทุก ๆ ปี โดยข้อมูลจากองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติ (National Oceanic and Atmospheric Administration : NOAA) ที่เปิดเผยสถิติการเกิดพายุในแถบแปซิฟิกตะวันตกในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา (ปี 1970 – 2020) แสดงให้เห็นว่ามีพายุและซูเปอร์ไต้ฝุ่นเกิดขึ้นในเอเชียบ่อยครั้งกว่าภูมิภาคอื่น ๆ
นักวิทยาศาสตร์ต่างให้ความเห็นว่าปรากฎการณ์เช่นนี้จะทำให้เราคาดเดาสภาพอากาศได้ยากขึ้น และการที่พายุไต้ฝุ่นรุนแรงจนกลายเป็นซูเปอร์ไต้ฝุ่นได้ในระยะเวลาอันรวดเร็วนี้กำลังจะกลายเป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป เนื่องจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เป็นตัวการสำคัญทำให้สภาพอากาศแปรปรวนอย่างรุนแรงจนกลายเป็น เหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว (Extreme Weather Event) ในขณะเดียวกันก็จะทำให้เราคาดการณ์สภาพอากาศได้ยากขึ้นเช่นกันเพราะเกิดการแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา
ตอนนี้ ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อปรากฏการณ์เหล่านี้ โดยเพิ่มทั้งความถี่ ความรุนแรง และระยะเวลาของเหตุการณ์ การทำความเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เกิดจากมนุษย์กับปรากฏการณ์อากาศสุดขั้วจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะสามารถลดความเสี่ยงและเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุการณ์เหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดัชนีดังกล่าววัดจากทั้ง จำนวนผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และ ความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยตรง ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางและการขาดแคลนการป้องกันความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ
การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบรรษัทฟอสซิลยักษ์ใหญ่: ภัยคุกคามต่ออนาคตเรา
ในปี 2566 รายงาน Carbon Majors เปิดเผยภาพสะท้อนของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) จากบรรษัทฟอสซิลยักษ์ใหญ่ที่ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อสภาพภูมิอากาศของโลก
จากการวิเคราะห์ล่าสุด พบว่ามี 36 บริษัทใหญ่ที่มีส่วนเชื่อมโยงต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากเชื้อเพลิงฟอสซิล บริษัทเหล่านี้ปล่อย CO₂ ทั่วโลกมากกว่าครึ่งในปีเดียว ส่วนใหญ่มีส่วนสำคัญในรายชื่อผู้นำด้านการปล่อย CO₂ ได้แก่ Saudi Aramco, Shell, ExxonMobil, Coal India รวมถึงบริษัทรัฐวิสาหกิจจากจีนหลายแห่ง ที่ในปี 2566 เพียงปีเดียวมีการปล่อย CO₂ สูงถึง มากกว่า 20,000 ล้านตัน จากการผลิตและเผาไหม้ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซฟอสซิล

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจากการประเมินของ Carbon Majors ที่ระบุว่า มีบริษัท 93 แห่งจากทั้งหมด 169 แห่งที่ปล่อย CO₂ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า และหากย้อนกลับไปดูข้อมูลตั้งแต่ปี พ.ศ.2397 จนถึงปัจจุบัน พบว่า สองในสามของการปล่อย CO₂ ทั้งหมด ตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมมาจาก 180 บริษัท
ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า บรรษัทฟอสซิลยักษ์ใหญ่ไม่เพียงแต่เป็นผู้ที่รับผิดชอบต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมหาศาล แต่ยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้โลกต้องเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและรวดเร็วขึ้นในทุกวันนี้
Who Pay? ใครต้องจ่ายต่อความสูญเสียและเสียหาย
ในช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา ไทยต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติมากถึง 137 ครั้ง โดยเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุดคือ มหาอุทกภัยในปี 2554 ซึ่งสร้างความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน และระบบเศรษฐกิจในวงกว้าง เหตุการณ์ครั้งนั้นเพียงครั้งเดียวคิดเป็น ถึง 87% ของความเสียหายทางเศรษฐกิจทั้งหมดที่ประเทศไทยได้รับ
ในช่วงเวลาดังกล่าว รายงานของ ธนาคารโลก ยังประเมินว่า มหาอุทกภัยในปีนั้นส่งผลให้ประเทศสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง 1.44 ล้านล้านบาท (ประมาณ 46.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งถือเป็นบทเรียนราคาแพงที่สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศไทยไม่สามารถมองข้ามภัยพิบัติได้อีกต่อไป

นอกจากหลายจังหวัดในไทยที่เป็นจังหวัดที่เปราะบาง ต้องเผชิญกับภัยพิบัติที่รุนแรงและมีความถี่มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว กรุงเทพฯก็เป็นอีกหนึ่งเมืองที่หนีไม่พ้นภัยคุกคามจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เพราะกำลังเผชิญความเสี่ยงที่หนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างผิดปกติ, น้ำท่วมฉับพลันจากฝนถล่ม, มลพิษ PM2.5, และโครงสร้างพื้นฐานเมืองที่ไม่อาจรองรับภัยพิบัติได้ ทั้งการระบายน้ำที่ติดขัดจากขยะพลาสติก ไปจนถึงการจราจรติดหนักในสภาวะฝนตกหนัก น้ำท่วม เหล่านี้คือสัญญาณเตือนชัดเจนที่สะท้อนว่าการเตรียมความพร้อมต้องเกิดขึ้น “ตอนนี้” ไม่ใช่ “วันหน้า”
รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งออกมาตรการควบคุมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมฟอสซิลรายใหญ่ ขณะเดียวกัน เมืองก็ต้องปรับตัวอย่างเป็นระบบ พร้อมปกป้องประชาชนกลุ่มเปราะบางทั่วประเทศไม่ให้กลายเป็นเหยื่อของความล้มเหลวในการวางแผนรับมือกับวิกฤตนี้
โอกาสครั้งใหญ่ในการทำให้ผู้ก่อมลพิษต้องจ่ายในปี 2025

ด้วยแรงผลักดันจากนักเคลื่อนไหวผู้สร้างแรงบันดาลใจทั่วโลก การตระหนักรู้ของผู้คนถึงว่าผู้ก่อมลพิษต้องรับผิดชอบกำลังเกิดขึ้นและเติบโตอย่างต่อเนื่อง เวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เราจะต้องเพิ่มแรงกดดันต่อผู้นำทางการเมืองเพื่อให้พวกเขาแก้ปัญหาให้ได้จริง และช่วงเวลาต่อไปนี้คือจุดสำคัญที่เรามีโอกาสร่วมกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
- อนุสัญญาภาษีของสหประชาชาติ: ในเดือนสิงหาคม รัฐบาลทั่วโลกจะเริ่มการเจรจาอย่างเป็นทางการสำหรับข้อตกลงภาษีโลกฉบับใหม่ ซึ่งอาจรวมถึงกฎใหม่ที่จะทำให้บริษัทน้ำมันและก๊าซข้ามชาติต้องจ่ายภาษีอย่างเป็นธรรม
- การประชุมระหว่างประเทศครั้งที่ 4 ว่าด้วยการเงินเพื่อการพัฒนา ผู้นำประเทศจะประชุมกันในเดือนกรกฎาคมนี้ ที่การประชุมใหญ่ของสหประชาชาติในประเทศสเปน เพื่อหารือแนวทางในการทำให้ระบบเศรษฐกิจโลกยุติธรรมมากขึ้น นี่คือโอกาสสำคัญในการเพิ่มแรงกดดันให้ผู้ก่อมลพิษจากเชื้อเพลิงฟอสซิลจ่ายคืนอย่างเป็นธรรม
- คณะทำงาน Global Solidarity Levies: กลุ่มประเทศและองค์กร 17 แห่งได้รวมตัวกันในแนวร่วมใหม่เพื่อมุ่งเน้นการเก็บภาษีจากผู้ก่อมลพิษมากขึ้น เพื่อนำรายได้ไปใช้กับการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศและการพัฒนา พวกเขาให้คำมั่นว่าจะออกมาตรการอย่างเป็นรูปธรรมภายในปีนี้ เราขอเรียกร้องให้พวกเขาลงมือทันที
- จากบากูสู่เบเลง แผนการกองทุน 1.3 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปีภายในปี 2578 จากผลการประชุม COP29 ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติในอาเซอร์ไบจาน รัฐบาลทั่วโลกเห็นพ้องกันว่าจะต้องจัดทำแผนเพื่อเพิ่มเงินทุนด้านสภาพภูมิอากาศระหว่างประเทศให้กับประเทศรายได้ต่ำที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก แม้จะมีส่วนก่อวิกฤตน้อยที่สุด การทำให้ผู้ก่อมลพิษต้องจ่ายจึงเป็นทางออกที่ชัดเจนและจำเป็นเร่งด่วน
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเป็นภัยคุกคามระดับโลกที่ส่งผลกระทบรุนแรงและไม่เท่าเทียม กลุ่มคนที่มีส่วนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับต่ำ เช่น ชุมชนยากจนหรือประเทศที่มีรายได้น้อย กลับต้องแบกรับผลกระทบจากภัยธรรมชาติบ่อยครั้ง ทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง และโรคระบาด โดยที่ไม่มีทรัพยากรเพียงพอในการรับมือ ขณะที่บรรษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มพลังงานฟอสซิลและประเทศพัฒนาแล้วซึ่งปล่อยก๊าซในจำนวนมหาศาลยังคงแสวงหาผลกำไรโดยไม่ต้องรับผิดชอบต่อสังคมโลกต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
นี่จึงเป็นเหตุผลที่หลักการ “ผู้ก่อโลกเดือดต้องเป็นผู้จ่าย” หรือ Make Polluter Pays ต้องถูกผลักดันอย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงเพื่อความยุติธรรม แต่เพื่อให้การรับมือกับวิกฤตภูมิอากาศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยมลภาวะที่ถูกก่อโดยผู้มีอำนาจ ต้องไม่กลายเป็นภาระของผู้ที่อ่อนแอที่สุดในระบบ
อ้างอิงข้อมูล: