ใครบ้างที่มีสิทธิภายใต้สิทธิมนุษยชนที่เท่าเทียม? ขณะที่ปัญหาฝุ่นพิษ น้ำท่วม ดินโคลนถล่ม และการทำลายป่า ถูกกล่าวโทษว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยฝีมือของคนบนดอย แต่กลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมผู้ก่อมลพิษและทำลายสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการทำเหมืองต่างๆ หรืออุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ กลับมักไม่อยู่ในสมการและบทวิพากษ์จากคนในสังคมว่าควรมีภาระรับผิดต่อปัญหาสิ่งแวดล้อมและการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือการชี้นิ้วหาผู้รับผิดที่เป็นคนกลุ่มที่ถูกทำให้เป็นชายขอบนั้นง่ายว่าที่จะเอาผิดผู้มีอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างกลุ่มอุตสาหกรรม

มติคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ที่ผ่านมา ได้ผ่านร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ พ.ศ. … ซึ่งแม้บทบัญญัติบางประการได้ถูกตัดทอนลงไป เช่น นิยามของชนเผ่าพื้นเมือง แต่การระบุให้มี “สิทธิในที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามความจำเป็นต่อการดำรงชีพหรือกิจกรรมสาธารณะของชุมชน” และ “พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” เป็นจุดเริ่มต้นครั้งแรกและครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่ยกระดับการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ และความมั่นคงในสิทธิที่ดินที่ทำกินนี้น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะเอื้อต่อระบบเกษตรที่มั่นคงและลดการขยายตัวของพืชอย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่เป็นสาเหตุสำคัญของฝุ่นพิษข้ามแดนและการสูญเสียพื้นที่ป่า 

กรีนพีซได้พูดคุยกับ พชร คำชำนาญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ ในประเด็นร่างพ.ร.บ.ชาติพันธุ์ฯ (เมื่อเดือนเมษายน 2568 ปรับปรุงเมื่อสิงหาคม 2568) เพื่อสะท้อนถึงความเป็นไปได้ ความหวัง และข้อกังวลต่อสิทธิชนพื้นเมืองชาติพันธุ์ที่ทางมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือผลักดันให้เกิดความเสมอภาคขึ้นมาอย่างยาวนาน แม้ว่าสิทธิมนุษยชนจะยังไม่เท่ากันอย่างแท้จริง แต่พ.ร.บ.ฉบับนี้จะช่วงยกระดับสิทธิชนพื้นเมืองชาติพันธุ์ได้มากน้อยเพียงใด

จากความตั้งใจเดิมของร่างพ.ร.บ.ชาติพันธุ์ฯ สิทธิสำคัญใดบ้างของชนพื้นเมืองที่ถูกตัด หรือเปลี่ยนแปลงไปจากร่างเดิมที่เครือข่ายและชุมชนเคยร่วมกันร่างไว้อย่างไรบ้าง?

พชร คำชำนาญ: ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์นี้ ตลอดกระบวนการพิจารณาในสภา ทั้งชั้นสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา และมติคณะรัฐมนตรี ใช้เวลาถึง 17 เดือน เป็นการพิจารณากฎหมายที่ยาวนาน และทำให้เราได้เห็นบรรยากาศทางการเมืองที่มีผลกระทบต่อการผลักดันกฎหมายฉบับนี้ ขณะนี้ผลที่ออกมานับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ประเทศไทยจะมีกฎหมายชาติพันธุ์ฉบับแรก แต่ต้องยอมรับตามตรงว่าเนื้อหาที่เป็นการคุ้มครองสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์นั้นถูกตัดทอนลงไปเรื่อย ๆ 

ไม่ปรากฎคำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง” 

ในกฎหมายฉบับนี้ แม้กรรมาธิการภาคประชาชนจะร่วมกันยืนยันเจตนารมณ์ แต่ไม่สามารถต้านทานความเห็นต่างจาก สส. และ สว. ได้ การไม่มีคำนี้ในกฎหมายแม้เพียงสักแห่งสะท้อนการไม่ยอมรับตัวตนของชนเผ่าพื้นเมือง ลดทอนสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง (Rights to Self Determination) ซึ่งจะนำไปสู่การลดทอนสิทธิในด้านอื่น ๆ ต่อไป

การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ หรือเพียงพิธีกรรมที่ไม่ได้ฟังเสียงของประชาชน

ในชั้น สว. ที่ผ่านมานั้นได้ตัดการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทิ้ง ให้คงเหลือเพียงการร่วมแสดงความเห็นเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่ง ที่ผ่านมาโดยตลอดนั้นพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองมักถูกบีบบังคับด้วยแนวนโยบายและหรือโครงการพัฒนาของรัฐ ทำให้ต้องสูญเสียที่ดินหรือต้องออกจากดินแดนของตัวเอง หรือกระบวนการรับฟังความเห็นแบบพิธีกรรมที่ไม่ได้นำเสียงของพี่น้องไปใช้ประกอบการตัดสินใจโดยแท้จริง ถ้าจะเชื่อมโยงกับเรื่องการจัดการปัญหา PM 2.5 ก็ต้องบอกว่าพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองแทบไม่ได้มีโอกาสแสดงความเห็นของตนเองเข้าไปสู่ผู้กำหนดนโยบายเลย

มาตรการจัดการฝุ่นที่ยิ่งซ้ำเติมปัญหาที่มีอยู่เดิมของชาติพันธุ์

การจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติซึ่งทำกันมา 2 แผนแล้ว ผลคือสุดท้ายมาตรการจัดการฝุ่นก็ยิ่งซ้ำเติมปัญหาที่มีอยู่เดิมของชาติพันธุ์ แทนที่จะแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนและเป็นธรรมกับคนชายขอบด้วย โดยพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ที่เราพยายามสร้างให้เป็นโมเดลการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติด้วยวิถีและภูมิปัญญาของกลุ่มชาติพันธุ์ แก้ไขปัญหาการทับซ้อนที่ดินรัฐที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและการละเมิดสิทธิมนุษยชน สุดท้ายถูกตัดสาระสำคัญที่ว่า “ไม่นำหลักเกณฑ์ของกฎหมายด้านป่าไม้ ป่าสงวน และป่าอนุรักษ์” ออก กลายเป็นพื้นที่นี้ยังต้องอยู่ภายใต้กฎหมายที่กระทบกับชุมชน ไม่นำไปสู่การคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์อย่างแท้จริง รวมถึงจะเป็นการจำกัดศักยภาพของชุมชนในการจัดการไฟป่าและ PM 2.5 โดยชุมชนด้วย เพราะหลากหลายวิธีการของชุมชนนั้นขัดต่อเงื่อนไขของกฎหมายด้านป่าไม้-ที่ดิน 

ตอนนี้น่ายินดีที่ประเทศไทยจะมีกฎหมายชาติพันธุ์ฉบับแรก แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่สาระสำคัญในการคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองยังถูกบดบังด้วยอคติทางสังคม ความกลัว และการกล่าวหาอย่างเลื่อนลอย แม้จะพอมีบางบทบัญญัติที่อาจจะนำไปสู่การคืนสิทธิได้บ้าง แต่กระบวนการขับเคลื่อนกฎหมายยังไม่อาจนำพาสังคมให้ก้าวข้ามไปสู่การเป็นสังคมที่ยอมรับความเป็นพหุวัฒนธรรม ความแตกต่างหลากหลาย และเห็นถึงศักยภาพของพี่น้องว่าเป็นอีกหนึ่งพลังสร้างสรรค์สังคมร่วมกับเรา และเป็นอีกทางเลือกหนึ่งด้วยหากต้องการแก้ไขหรือบรรเทาปัญหาความรุนแรงของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

อคติต่อชนพื้นเมืองชาติพันธุ์ในด้านสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นในด้านไหนบ้าง และข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร?

พชร คำชำนาญ: เราคิดว่าเป็นสถานการณ์คล้าย ๆ กัน คือเวลาพอมีปัญหาอะไรในสังคมไทย ผู้คนมักชอบชี้นิ้วโทษกลุ่มคนไม่มีปากเสียงก่อน สร้างอคติกล่าวโทษเขา ไม่เคยโทษตัวเอง และแน่นอนว่าจะไม่โทษปัญหาเชิงโครงสร้างที่ใหญ่กว่านั้น แต่จริง ๆ คือต้นตอสำคัญที่สุดที่ทำให้ปัญหาไม่ถูกแก้

ในกรณีสถานการณ์สิ่งแวดล้อมก็เช่นกัน เป็นเวลาหลายทศวรรษที่กลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองต้องถูกมองด้วยอคติและกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุสำคัญของหลากหลายปัญหา ในยุคหนึ่งที่รัฐไทยพยายามรวมศูนย์การจัดการทรัพยากรเพื่อทำสัมปทานป่าไม้ จนพื้นที่ป่าที่อุดมสมบูรณ์หายไปเป็นจำนวนมาก กลุ่มชาติพันธุ์จะถูกกล่าวหาว่า “ตัดไม้ทำลายป่า” วิถีการทำเกษตรแบบไร่หมุนเวียนของกลุ่มชาติพันธุ์ถูกกล่าวหาว่าเป็น “ไร่เลื่อนลอย” คือการถางป่าจนโล่งเตียนไปเรื่อย ๆ ไม่มีการจัดการ จนเกิด “เขาหัวโล้น” เรื่องเล่าเหล่านี้ถูกปลูกฝังสู่สังคมผ่านระบบการศึกษา ปรากฎอยู่ในแบบเรียนมาหลายทศวรรษเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

ในความเป็นจริงเราอาจกล่าวได้ว่าไม่ใช่กลุ่มชาติพันธุ์ทุกกลุ่มที่มีวิถีชีวิตที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติเช่นนั้นจริง ในทางกลับกันเราพบว่าพี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์หลายกลุ่มต่างมีองค์ความรู้และภูมิปัญญาในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติอย่างชาญฉลาด สอดคล้องกับแนวทางการจัดการป่าไม้ที่ยั่งยืน ในยุคที่ชาวบ้านต่อสู้กับการทำสัมปทานป่าไม้อย่างโจ่งแจ้งของรัฐและบริษัทเอกชน มีพี่น้องต้องสูญเสียชีวิตจากการถูกลอบสังหาร พี่น้องพยายามพัฒนาโมเดลป่าชุมชนขึ้นมายืนยันว่าพวกเขาจัดการป่าได้ดีกว่าการบังคับใช้กฎหมายของรัฐ ร่วมมือกับเครือข่ายภาคประชาสังคมและภาควิชาการดำเนินงานวิจัยเพื่อพิสูจน์ว่า “ไร่หมุนเวียน” คือวิถีเกษตรกรรมยั่งยืนอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ ซึ่งแม้ขณะนี้จะยังไม่มีกฎหมายรองรับ แต่ในทางนโยบายเราสามารถกล่าวได้ว่าระบบเกษตรแบบนี้ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากขึ้น ปรากฏอยู่ในมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 3 สิงหาคม 2553 ว่าด้วยแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรกรรมยั่งยืน พ.ศ. 2554 เป็นต้น

ในปัจจุบันความรุนแรงจากผลกระทบวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่มากขึ้น ก็มิวายเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ถูกกล่าวหา เช่น ในสถานการณ์ไฟป่า ฝุ่น PM 2.5 น้ำท่วม ดินถล่ม วิถีชีวิตของกลุ่มชาติพันธุ์บนพื้นที่สูง ต้องตกอยู่ในความเสี่ยงทั้งจากการวิพากษ์วิจารณ์ในสื่อสังคมออนไลน์ ดูหมิ่นเหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นำไปสู่การบีบบังคับด้วยมาตรการทางกฎหมายอันเข้มข้น มาตรการห้ามเผาเด็ดขาด หรือ Zero Burn คือหนึ่งในนั้น 

ในความเป็นจริงการมองกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยอคติเหมารวมเช่นนี้ไม่เป็นธรรมและไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในพื้นที่ กล่าวคือ พี่น้องกลุ่มชาติพันธุ์ก็มีองค์ความรู้และภูมิปัญญาในการจัดการปัญหาเหล่านี้ พวกเขาจำเป็นต้องใช้ไฟตามวิถี แต่มีระบบการจัดการให้เกิดฝุ่นน้อย ทำแนวกันไฟไม่ให้ลุกลามเป็นไฟป่าขนาดใหญ่ เผาในช่วงเวลาที่ควบคุมได้ว่าเริ่มเมื่อไร ดับเมื่อไร และเขาหัวโล้นที่เกิดจากพืชเศรษฐกิจนั้นก็เกิดจากการสนับสนุนและร่วมมือกันของรัฐและทุนทั้งนั้น เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 

ลองคิดดูว่าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จะสามารถปลูกบนพื้นที่สูงขนาดนั้นได้อย่างไรหากรัฐไม่เอื้ออำนวยให้ เพราะเวลาจะยึดที่ชาวบ้านก็อ้างว่าพื้นที่นั้นไม่มีเอกสารสิทธิ์ เป็นป่าของรัฐ เป็นพื้นที่ลาดชัน แต่พอเป็นนายทุนที่สนับสนุนให้ปลูกกลับปล่อยลอยนวล อย่าโยนบาปให้เกษตรกร ในเมื่อกลุ่มทุน และรัฐที่เอื้อกลุ่มทุนต่างหากคือเหตุแห่งปัญหาฝุ่นควันจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์

มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ (มพน.) ได้ร่วมกับชุมชนและภาควิชาการทำงานวิจัยขึ้นมา 2-3 ชิ้นในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมานี้ และพิสูจน์ได้แล้วว่าศักยภาพของระบบการจัดการทรัพยากรในชุมชนที่เรียกว่าไร่หมุนเวียนนั้นมีมากขนาดที่สามารถกักเก็บฝุ่นจากการเผาไร่หมุนเวียนได้ทั้งหมด เหลือเฟือกักเก็บฝุ่นจากแหล่งอื่น และยิ่งทำไร่หมุนเวียนก็จะยิ่งเป็นการรักษาคุณสมบัติของดินที่มีศักยภาพในการรองรับน้ำจนไม่เกิดดินถล่มและน้ำท่วม ขณะที่กรณีดินถล่มที่เป็นข่าวใหญ่เมื่อปีที่แล้วที่ชุมชนปกาเกอะญอบ้านห้วยหินลาดใน จังหวัดเชียงราย เรากลับพบว่าดินถล่มในพื้นที่ป่าธรรมชาติที่เคยผ่านการทำสัมปทานป่าไม้มาแล้วในยุคหนึ่ง แต่ในขณะที่ชุมชนประสบเหตุขนาดนั้นก็ยังมิวายมีสายวิชาการและสื่อสังคมออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์ว่าชาวบ้านปลูกข้าวโพด เขาหัวโล้น ทั้งที่ในชุมชนบ้านห้วยหินลาดในไม่มีข้าวโพดเลี้ยงสัตว์แม้แต่ต้นเดียว

แม้จะยากที่จะเปลี่ยนความคิดหน่วยงานรัฐที่มุ่งแต่จะยึดแย่งทรัพยากรและความคิดของสังคมโดยรวม แต่ที่ผ่านมาเราก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อนำเสียงของกลุ่มชาติพันธุ์ออกมาอธิบายต่อสังคม

จริงหรือไม่ที่คนบนดอย คนอยู่กับป่า อย่างชนพื้นเมือง คือตัวการสำคัญผู้ก่อฝุ่นพิษภาคเหนือ?

พชร คำชำนาญ: ฝุ่นมีตั้งหลายสาเหตุ แต่ทำไมคนที่รักษาป่าดีที่สุด ถึงกลายเป็นผู้ร้ายที่สุดในสายตาสังคม ทั้งที่พี่น้องชนเผ่าพื้นเมืองบนดอยเขาก็ได้รับผลกระทบจากฝุ่นพิษไม่ต่างกัน

ถ้าถามว่าคนอยู่กับป่าและชนเผ่าพื้นเมืองเป็นตัวการสำคัญในการก่อมลพิษหรือไม่ ขอตอบว่าไม่จริงทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องไฟป่าและบริบทการทำเกษตรบนพื้นที่สูงที่มักถูกมองว่าเป็นเหตุปัจจัยสำคัญในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน ซึ่งต้องทำความเข้าใจก่อนว่าลักษณะภูมิประเทศของภาคเหนือนั้นส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่า เป็นแหล่งทรัพยากรป่าไม้ที่สำคัญของประเทศ ที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของชาวบ้านที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองส่วนใหญ่ก็อยู่ในพื้นที่ป่า นี่คือความเป็นจริง ฉะนั้นไม่ว่าจะเกิดไฟขึ้นที่ใด ก็จะถูกเหมารวมว่าเป็นไฟป่า ต่างจากการเผาในพื้นที่ราบที่สังคมยังแยกแยะได้ว่าเป็นการเผาในพื้นที่การเกษตร

กรณีการเผาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ แม้จะกล่าวว่าเกษตรกร ชาติพันธุ์ ชนเผ่าพื้นเมืองเป็นผู้เผา แต่คำถามย้อนกลับไปก็คือแล้วใครกันที่สนับสนุนให้เกษตรกรบนพื้นที่สูงต้องเปลี่ยนวิถีดั้งเดิมที่สอดคล้องกับการดูแลทรัพยากรธรรมชาติให้กลายเป็นเขาหัวโล้น เป็นพืชเชิงเดี่ยวที่ต้องใช้สารเคมี และต้องมีการเผาอย่างมหาศาลเช่นนั้น คำตอบที่ชัดเจนก็คือการสมคบคิดกันของกลุ่มทุนและรัฐเอง เกษตรกรเป็นต้นเหตุส่วนน้อยมากของวัฏจักรการเกิดฝุ่นจากพืชเชิงเดี่ยวนี้ คุณไม่ได้มีทางเลือกอื่นใดให้เขา เพราะทางเลือกอื่นรัฐไม่ได้สนับสนุน

อีกกรณีหนึ่งคือการใช้ไฟในพื้นที่ “ไร่หมุนเวียน” ก็ถูกเหมารวมเป็นไฟป่า เป็นการเผาในที่โล่งในแบบเดียวกับการเผาตอซังข้าวโพด คือเป็นการมองปัญหาแบบเหมารวม ว่าไฟต้องเกิดจากคนเผาแน่ ๆ แต่สังคมไม่เคยช่วยกันมองในเชิงระบบว่าการใช้ไฟในไร่หมุนเวียนนั้นแวดล้อมไปด้วยทรัพยากรและนิเวศโดยรอบที่ทำให้ผลลัพธ์จากการปล่อยควันต่างกันโดยสิ้นเชิง

เมื่อปี 2566 มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ (มพน.) ก็ได้ร่วมกับชุมชนกะเหรี่ยงบ้านแม่ส้าน อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง และคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ทำงานศึกษาวิชาการว่าด้วยศักยภาพในการกักเก็บและการระบายฝุ่นในระบบการเกษตรแบบไร่หมุนเวียน โดยเก็บทั้งตัวอย่างทั้งฐานข้อมูลย้อนหลังของกรมควบคุมมลพิษ เก็บตัวอย่างฝุ่นในช่วงก่อนเผาและหลังเผาไร่หมุนเวียน และเก็บตัวอย่างใบไม้ในพื้นที่ไร่เหล่าหรือไร่พักฟื้นในช่วงก่อนเผาและหลังเผาเช่นกัน โดยเรามีข้อค้นพบที่สำคัญ ดังนี้

  1. ความเข้มข้นของ PM 2.5 ในพื้นที่ลำปางและจังหวัดโดยรอบมีแนวโน้มเดียวกัน มีค่าใกล้เคียงกัน แสดงให้เห็นว่าอาจเกิดจากการแพร่กระจายในระดับภูมิภาค (transboundary)
  2. ผลการตรวจวัด PM 2.5 เดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมมีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐาน 1-2 เท่า ส่วนเดือนพฤษภาคม ค่าลดลงจนไม่เกินมาตรฐาน ผลจากการเผาไร่หมุนเวียนทำให้ค่าฝุ่นเพิ่มขึ้นในวันที่ 2 และเกินมาตรฐาน แต่ที่น่าสนใจคือ ความเข้มข้นฝุ่นในพื้นที่แม่ส้านโดยทั่วไปต่ำกว่าพื้นที่จังหวัดลำปางและจังหวัดโดยรอบ
  3. ความสามารถในการดักจับฝุ่นด้วยพืชในพื้นที่ไร่หมุนเวียน 7 ปีขึ้นไป สามารถดักจับฝุ่นได้สูงกว่าการระบายฝุ่นจากการเผาไร่ โดยพบว่าใบไม้หลายชนิดซึ่งเป็นพืชท้องถิ่นมีศักยภาพในการดักจับฝุ่นได้สูงมาก 

ฉะนั้นผมสรุปเลยว่าถ้าจะบอกว่าคนอยู่กับป่าและชนเผ่าพื้นเมืองเป็นตัวการสำคัญของฝุ่นภาคเหนือ ฟันธงเลยว่านี่คือการหาแพะรับบาป จะเหมาเอาแบบนั้นไม่ได้ เรายืนยันทั้งจากวิถีชีวิตของพี่น้องที่ดูแลรักษาป่าที่เราสัมผัสได้ เห็นด้วยตา และรับรู้ได้ด้วยใจว่าชุมชนเขาหวงแหนผืนป่าขนาดไหน ขณะเดียวกันงานวิชาการที่เราทำก็มีผลจากการศึกษาตัวอย่างฝุ่นในพื้นที่บ้านแม่ส้านทั้งก่อนเผาและหลังเผา ที่เมื่อนำไปวิเคราะห์แล้วพบว่า ไม่ใช่เป็นเพียงฝุ่นจากการเผาเศษวัสดุทางการเกษตรเท่านั้น โดยการตรวจวัดไอออนบวกและลบในฝุ่น PM 2.5 เบื้องต้น บ่งชี้ว่าฝุ่นที่ลอยมาบ้านแม่ส้านมีแหล่งกำเนิดจากทั้งการเผาวัสดุเหลือทิ้งจากการเกษตร การคมนาคม อุตสาหกรรม รวมถึงการเผาถ่านหินด้วย 

 ฉะนั้นการมีมาตรการห้ามเผาเด็ดขาดต่อพื้นที่การเกษตร และโจมตีไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยงเพียงอย่างเดียว จึงไม่เป็นธรรม และไม่แก้ปัญหาฝุ่นที่ต้นเหตุ

คิดว่านโยบายสนับสนุนพืชเชิงเดี่ยวอย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์คุกคามวิถึชึวิตและวัฒนธรรมของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์อย่างไรบ้าง?

พชร คำชำนาญ: ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปี 2537-2538 ผู้เฒ่าผู้แก่ชาวกะเหรี่ยงคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่า เจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้าไปเกลี้ยกล่อมให้ชาวบ้านเปลี่ยนระบบการเกษตรจากไร่หมุนเวียนให้เป็นระบบพืชเชิงเดี่ยว ถางไร่ให้เกลี้ยง โล่งเตียน เพื่อจะได้ปรากฏแปลงที่ดินบนภาพถ่ายทางอากาศ ชาวบ้านจะได้มีสิทธิในที่ดิน 

เมื่อปีที่แล้วนี่เอง กรมป่าไม้ก็เปิดยุทธการที่เรียกว่า “พิทักษ์ไพร” ไล่ตรวจยึดไร่หมุนเวียนของพี่น้องกะเหรี่ยง หนึ่งกรณีที่เราพบในจังหวัดเชียงราย มีการเข้าไปรื้อทำลายข้าวของรวมถึงสถานที่ประกอบพิธีกรรมตามความเชื่อของชนเผ่า ในช่วงเวลาเดียวกันเกิดเหตุการณ์ตรวจยึดไร่หมุนเวียนของพี่น้องกะเหรี่ยงที่จังหวัดลำปางด้วย โดยพี่น้องยืนยันกับเราว่าเจ้าหน้าที่ป่าไม้บอกว่าจะนำที่ดินไปปลูกป่า หากไม่อยากให้ถูกยึด ก็ต้องเปลี่ยนไปปลูกข้าวโพด จนชาวบ้านต้องออกไปชุมนุมที่ศาลากลางจังหวัดลำปาง แล้วถามดัง ๆ ว่าสรุปแล้วเจ้าหน้าที่ป่าไม้อยากรักษาป่าหรือทำลายป่ากันแน่ ไม่ให้ทำไร่หมุนเวียน แต่บีบบังคับให้ชาวบ้านต้องปลูกข้าวโพดเชิงเดี่ยว 

ที่เล่านี่คือเป็นภัยคุกคามแรก การสนับสนุนพืชเชิงเดี่ยวอย่างข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นั้นคือเครื่องมือในการแย่งยึดที่ดินของหน่วยงานรัฐด้วย หากไม่อยากถูกยึดที่ ก็เปลี่ยนวิถีของตัวเองเสีย จากที่สร้างความมั่นคงทางอาหาร ปลูกข้าวกินเอง ก็ให้ไปเป็นหนี้เป็นสิน ปลูกข้าวโพดขายซื้อข้าวกันซะ 

นอกจากนั้นวิถีวัฒนธรรม องค์ความรู้ และประเพณีดั้งเดิมที่ชุมชนชาติพันธุ์ธำรงรักษาไว้ในระบบการเกษตรดั้งเดิมก็สูญหายไปด้วย 

ต่อมาคือผลกระทบจากการเป็นจำเลยสังคม จริงอยู่ที่การทำไร่หมุนเวียนแต่เดิมก็ถูกกล่าวหาและมองด้วยภาพเชิงลบอยู่แล้ว แต่หนักหนายิ่งกว่าแน่นอนเมื่อเป็นการเกษตรแบบเชิงเดี่ยว อย่างการปลูกข้าวโพด ซึ่งในความจริงก็เป็นหน่วยงานรัฐเองต่างหากที่สนับสนุนให้เกษตรกรปลูก พอเกิดปัญหาเรื่องฝุ่นก็บอกไม่ให้เผา แต่ไม่มีอะไรสนับสนุน เราว่ามันเป็นความไม่เป็นธรรมอย่างถึงที่สุดที่เป็นรัฐบาลเสียเองที่สนับสนุนการปลูกข้าวโพด แต่พอวันหนึ่งเกิดปัญหา PM 2.5 คุณลอยแพพี่น้องเกษตรกร ใช้แต่มาตรการห้ามเผา มีนโยบายไม่รับซื้อพืชผลการเกษตรที่มีการเผาในกระบวนการผลิต คุณโยนบาปให้เกษตรกร ให้ชีวิตเขาแขวนอยู่บนความไม่มั่นคงในการประกอบอาหาร และยังผลักเขาให้เป็นจำเลยสังคมบังหน้าให้คุณ

ยังไม่นับเรื่องผลกระทบอื่น ๆ อีก เรื่องหนี้สิน เรื่องความมั่นคงทางอาหาร สุขภาพ ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ตามมาหลังจากนั้น หากทำข้าวโพดในที่เดิมซ้ำ ๆ ทุกปี ไม่มีการพักฟื้นดิน เปิดโล่งตลอดเวลา ใช้สารเคมี แน่นอนว่าในอนาคตจะเกิดปัญหาตามมาอีกมาก

คิดว่าพ.ร.บ.ชาติพันธุ์ที่ส่งเสริมสิทธิของชนพื้นเมืองอย่างที่ควรได้รับจะช่วยแก้ปัญหาฝุ่นพิษ การทำลายป่า และวิกฤตโลกเดือดได้หรือไม่ อย่างไรบ้าง?

พชร คำชำนาญ: แม้เนื้อหาสำคัญถูกตัดออกไปหลายส่วน แต่จุดตั้งต้นของการผลักดันกฎหมายชาติพันธุ์ หากสมบูรณ์แบบตามเจตนารมณ์ของเราจะนำไปสู่การแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ ควบคู่กับการคืนสิทธิให้กลุ่มชาติพันธุ์ด้วย ตัวอย่างบางประเด็น เช่น

(1) สิทธิในการจัดการ อนุรักษ์ บำรุงรักษาและใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ความหลากหลายทางชีวภาพ พันธุกรรมพืชและสัตว์อันเป็นมรดกทางภูมิปัญญาและระบบนิเวศอย่างสมดุล เป็นธรรม และยั่งยืน ตลอดจนดำรงความสัมพันธ์ด้านจิตวิญญาณกับที่ดิน น้ำ ป่าไม้ ทะเลและชายฝั่งทะเล รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติอื่นด้วย

(2) สิทธิในการดำรงวิถีชีวิตตามวัฒนธรรมและประเพณีดั้งเดิม ตามภูมิปัญญาที่ได้สืบสาน รักษา และต่อยอดจากมรดกทางวัฒนธรรมของบรรพชนเพื่อการดำรงชีพ โดยไม่เกิดการทำลายให้เสียสมดุลหรือเป็นอันตรายต่อระบบนิเวศ

(3) สิทธิในการดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ ปลอดจากภัยคุกคาม มลพิษ
และวัตถุอันตรายใด ๆ ไม่ว่าจะเกิดจากการดำเนินนโยบาย แผนงาน หรือโครงการของภาครัฐหรือภาคเอกชน หรือโครงการร่วมกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน และได้รับการแก้ไขและเยียวยาอย่างเป็นธรรมในกรณีที่เกิดผลกระทบจากนโยบาย แผนงาน หรือโครงการดังกล่าว

(4) สิทธิในการปกป้องและได้รับความคุ้มครองจากการกระทำใด ๆ ที่ทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ต้องถูกพรากจากที่ดิน เขตแดน ทรัพยากรธรรมชาติ และที่อยู่อาศัยของตน โดยปราศจากการรับรู้และยินยอมล่วงหน้าโดยอิสระ สิทธิได้รับการแก้ไขและเยียวยาอย่างเป็นธรรม โดยจะจัดให้อยู่ในที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณภาพ และมีการรับรองสถานะของที่ดินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรือรูปแบบอื่นที่เหมาะสม และสิทธิมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอันเกิดจากการกระทำดังกล่าว

(5) สิทธิในการจัดการพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์

จะเห็นว่าหากชุมชนได้รับสิทธิเหล่านี้ เขาจะมีโอกาสนำองค์ความรู้และภูมิปัญญาที่เขามีมาพัฒนาเป็นศักยภาพในการจัดการทรัพยากรที่ยั่งยืนได้ ที่ผ่านมาชาวบ้านก็มีการดูแลจัดการป่า ทำแนวกันไฟ ลาดตระเวณ บางชุมชนพัฒนานวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาช่วย ติดตั้งถังสำรองน้ำ ขุดสระสำรองน้ำสำหรับดับไฟ หรือแม้กระทั่งใช้ระบบ IP Camera ช่วยในการลาดตระเวณไฟป่า แต่ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเป็นกิจกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมายป่าไม้ฉบับต่าง ๆ ด้วย 

คือสังคมต้องช่วยกันทำความเข้าใจใหม่ว่าระบบการจัดการแบบรวมศูนย์และอำนาจนิยมแบบที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมันไม่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาใด ๆ ทั้งสิ้น รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและวิกฤตสภาพภูมิอากาศด้วย ทำไมเราไม่เปลี่ยนกระบวนทัศน์ มองกันใหม่ว่าชาวบ้านสามารถดูแลทรัพยากรได้ มีความรู้ ความสามารถ หลายชุมชนพิสูจน์ตัวเองแล้วว่าทำได้ดียิ่งกว่าวิทยาการสมัยใหม่ของหน่วยงานรัฐเสียอีก ผมยังย้ำว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่งที่นักการเมืองมืดบอดเกินไปที่ตัดเนื้อหาอันเป็นการคุ้มครองสิทธิในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนให้หดแคบจนแทบใช้อะไรไม่ได้ และหน่วยงานรัฐก็ดันทุรังผ่านกฎหมายฉบับแล้วฉบับเล่าออกมาลิดรอนสิทธิชุมชน 

นั่นทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสไปมากในการใช้ต้นทุนที่แต่ละชุมชนมีในการช่วยทุเลาความรุนแรงของวิกฤตสิ่งแวดล้อมที่เราเผชิญอยู่นี้ ซึ่งจะส่งผลต่อพวกเราทุกคน

ทางออกที่อยากเสนอจากมุมของมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือคืออะไร?

พชร คำชำนาญ: ทางออกคือกลับไปหาชุมชน กลับไปหาท้องถิ่น ให้สิทธิและอำนาจโดยแท้จริงต่อพวกเขาในการจัดการปัญหา อันได้แก่

  1. ยกเลิกใช้นโยบายที่มุ่งกำจัดไฟโดยไม่แยกแยะ (Fire Exclusion Policy) โดยรูปธรรมที่สำคัญคือ ต้องยกเลิกมาตรการห้ามเผาอย่างเหมารวมโดยทันที รัฐยังต้องแยกแยะ ทำความเข้าใจ และสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องต่อสังคมเกี่ยวกับระบบการเกษตรแบบ ‘ไร่หมุนเวียน’ ของชุมชนชาติพันธุ์ ซึ่งจำเป็นต้องมีการใช้ไฟตามวิถีชีวิตและมักถูกหน่วยงานรัฐเหมารวมเป็นการเผาป่า เนื่องจากชุมชนมีความจำเป็นต้องใช้ไฟเพียงหนึ่งครั้งตลอดทั้งปี เพื่อให้มีข้าวและพืชอาหารเป็นความมั่นคงทางอาหารของครัวเรือนตลอดทั้งปี
  2. เลิกรวมศูนย์อำนาจรัฐและผูกขาดกลไกการบริหารจัดการ มุ่งกระจายอำนาจการจัดการทรัพยากรสู่ชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) สนับสนุนแผนการจัดการไฟและ PM 2.5 ของชุมชนและ อปท. โดยการสร้างแผนการบูรณาการจัดการไฟป่าเชิงระบบ ที่มาจากฐานศักยภาพและบริบทเฉพาะของชุมชนท้องถิ่น 
  3. สนับสนุนการกระจายอำนาจในการจัดการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติโดยชุมชน โดยการสนับสนุน ‘โฉนดชุมชน’ ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. 2553 เนื่องจากเป็นแนวนโยบายที่ผลักดันโดยภาคประชาชนเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทภูมิประเทศ ฐานทรัพยากรในพื้นที่ รวมถึงองค์ความรู้และภูมิปัญญาของแต่ละชุมชนที่มีความแตกต่างหลากหลาย และในระยะเร่งด่วนนี้ภาครัฐต้องแก้ไขปัญหากฎหมายด้านที่ดิน-ป่าไม้ ที่กระทบต่อสิทธิชุมชน ได้แก่ โครงการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน ตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 26 พฤศจิกายน 2561, พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ   พ.ศ. 2562, พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 และ พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. 2562 เนื่องจากการบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านมาสร้างผลกระทบและตัดตอนการมีส่วนร่วมของประชาชนในหลายพื้นที่ยืนอยู่บนหลักการที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่คุ้มครองสิทธิชุมชน รวมถึงสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ 

แม้พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ฯ จะยังไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะคุ้มครองสิทธิของคนอยู่กับป่าได้อย่างเป็นธรรมทั้งหมด แต่ถือว่าได้กฎหมายที่มีผลบังคับใช้เป็นที่แน่นอนแล้ว เรียกได้ว่าสิทธิของพี่น้องชนพื้นเมืองชาติพันธุ์ได้รับการรับรองทางกฎหมายเป็นที่เรียบร้อย สิ่งที่ยังต้องเดินหน้าต่อไปอาจจะเป็นสิ่งที่ยากพอกันกับการต่อสู้ทางกฎหมาย คือการเปลี่ยนและลบล้างอคติต่อกลุ่มชนพื้นเมืองชาติพันธุ์ที่ทำให้พวกเขาเป็นคนชายขอบ เป็นจำเลยและแพะรับบาปของสังคม หากถอดถอนอคตินี้ได้ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดป่ามากที่สุดอย่างชนพื้นเมือง จะเป็นผู้ที่ช่วยเราดูแลป่า ดูแลอากาศ และดูแลสภาพภูมิอากาศให้ยั่งยืนขึ้นในยุควิกฤตโลกเดือดนี้