การปฏิบัติที่ดีต่อผืนดินเป็นส่วนสำคัญในการเอาตัวรอดจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ

หากเราต้องการรักษาให้ทั้งร่างกายและโลกของเรามีสุขภาพดี เราต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิธีดูแลผืนดิน

การทำเกษตรกรรมเชิงนิเวศและปรับเปลี่ยนผืนดินคืนสู่ธรรมชาติเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันวิกฤตสภาพภูมิอากาศ การจัดหาอาหารให้เพียงพอสำหรับทุกคน และการรับรองความปลอดภัยให้กับชุมชนท้องถิ่น

น่าเสียดายที่รายงานสำคัญชิ้นใหม่จากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ซึ่งเป็นหน่วยงานขององค์การสหประชาชาติที่จัดทำการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์เผยว่า ผืนดินทุกประเภท (ป่าทุ่งหญ้าและพื้นที่ชุ่มน้ำ นับเป็นตัวอย่างส่วนหนึ่ง) กำลังถูกใช้ในทางที่ผิด ก่อให้เกิดปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ

วิธีที่เราผลิตอาหารกำลังทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้เป็นจำนวนมาก การเกษตรเชิงอุตสาหกรรมได้ขยายไปทั่วโลกในอัตราที่น่าตกใจ อีกทั้งได้กลืนกินป่าไม้และพื้นที่ทางธรรมชาติอื่น ๆ เพื่อผลิตพืชเกษตรและเนื้อสัตว์ในราคาถูก

และนี่คือห้าเหตุผลหลักที่เราควรดูแลรักษาผืนดินให้มากขึ้น

  1. การใช้ที่ดินอย่างชาญฉลาดจะต่อสู้กับวิกฤตสภาพภูมิอากาศได้

ป่าไม้เป็นตัวช่วยสำคัญในการป้องกันความเสียหายในสภาพภูมิอากาศ ป่าไม้ที่มีขนาดใหญ่และมีสุขภาพดีมีความสำคัญหากเราต้องการให้อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ขึ้นสูงกว่า 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับที่จำเป็นเพื่อที่จะสามารถควบคุมสภาพอากาศเอาไว้ได้ เช่นเดียวกับพื้นที่ทางธรรมชาติอื่น ๆ เช่น ทุ่งหญ้าและพื้นที่ชุ่มน้ำที่ช่วยดึงคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศลงมาเพื่อล็อคมันไว้ในต้นไม้และดิน ดังนั้นป่าที่เหลือจะต้องได้รับการปกป้อง ป่าที่เสียหายต้องมีการปล่อยให้ฟื้นฟู และต้องปลูกต้นไม้พื้นเมืองนับล้านต้นเพื่อฟื้นฟูป่าในธรรมชาติต่าง ๆ (แทนที่จะสร้างสวนต้นไม้เชิงพาณิชย์ที่ไม่ให้ผลกระทบใกล้เคียงกับการลดการปล่อยมลพิษเลย)

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการที่ป่าไม้และทุ่งหญ้ากำลังถูกทำลายในอัตราที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยส่วนใหญ่มาจากการเกษตรอุตสาหกรรม ความต้องการการผลิตเนื้อสัตว์ราคาถูกเป็นตัวผลักดันให้พื้นที่ป่าอันกว้างใหญ่ถูกแทนที่ด้วยฟาร์มปศุสัตว์ขนาดใหญ่และไร่ถั่วเหลืองและข้าวโพดเพื่อเลี้ยงวัว หมู และไก่ การแปลงผืนป่าเป็นที่ดินเพื่อการเกษตรทำให้มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนออกมา ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เกือบหนึ่งในสี่ของการปล่อยมลพิษทั่วโลกมาจากการเกษตร การทำป่าไม้ และการใช้ที่ดินในรูปแบบอื่น ๆ รวมถึงการผลิตเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นมต่างมีบทบาทสำคัญต่อสัดส่วนเหล่านั้น

เขาหัวโล้นในจังหวัดน่านเกิดจากการใช้พื้นที่ป่าปลูกพืชเชิงเดี่ยวเช่นข้าวโพด หรือถั่วเหลืองเพื่อนำไปแปรรูปเป็นอาหารไก่

การลดปริมาณเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นมที่เราผลิตและรับประทานจะช่วยลดปริมาณของป่าที่ถูกแปลงเป็นพื้นที่เกษตรกรรมได้ การลดการบริโภคเนื้อสัตว์ทั่วโลกให้ลดลงร้อยละ 50 ภายในอีก 30 ปีข้างหน้า (และมากกว่านั้นในภูมิภาคที่มีการบริโภคเนื้อสัตว์ในปริมาณที่สูงกว่าที่อื่น ๆ อยู่แล้ว เช่น ยุโรปและอเมริกาเหนือ) มีความสำคัญต่อการลดการปล่อยก๊าซและการต่อสู้กับปัญหาสภาพภูมิอากาศ

  1. การดูแลรักษาผืนดินหมายถึงการดูแลรักษาสัตว์ป่าและพันธุ์พืช

การที่ผืนป่า ทุ่งหญ้า และพื้นที่ธรรมชาติอื่น ๆ เป็นสวรรค์สำหรับสัตว์ป่าและพันธุ์พืชไม่ใช่เรื่องใหม่ จุดรวบรวมความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติเหล่านี้มีสายพันธุ์ต่าง ๆ อยู่มากมายหลายพันสายพันธุ์ ซึ่งหลายสายพันธุ์เหล่านั้นยังไม่ได้มีการศึกษาหรือค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์

เหตุเนื่องมาจากภูมิประเทศทางธรรมชาติเหล่านี้ถูกแปรสภาพเป็นที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อการเกษตรเชิงอุตสาหกรรม ความอุดมสมบูรณ์เหล่านี้จึงถูกแทนที่ด้วยพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีเพียงไม่กี่สายพันธุ์ ซึ่งเป็นปศุสัตว์และพืชไร่ต่าง ๆ เช่น น้ำมันปาล์มและถั่วเหลือง สัตว์ป่าหลายชนิดกำลังถูกกดดันจนเสี่ยงจะสูญพันธุ์และรายงานล่าสุดจากหน่วยงานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและการให้บริการของระบบนิเวศ (IPBES) ของสหประชาชาติเตือนว่า หนึ่งล้านสายพันธุ์กำลังจะเผชิญกับการสูญพันธุ์โดยมีเหตุมาจากฝีมือของมนุษย์

ป่าฝนบนจังหวัดปาปัวของอินโดนีเซียที่ถูกทำลายเพื่อใช้ในการปลูกปาล์มน้ำมัน

เพื่อป้องกันสิ่งนี้ การขยายตัวของการเกษตรอุตสาหกรรมอย่างไม่หยุดหย่อนจะต้องหยุดลงโดยทันที และฟื้นฟูพื้นที่ทางธรรมชาติเพื่อให้สามารถค้ำจุนความหลากหลายของชีวิตที่น่าพิศวงที่พบบนโลกของเราได้ ไม่เพียงเท่านั้น ทางออกคือเกษตรกรรมเชิงนิเวศที่ช่วยลดการใช้สารเคมี เช่น ยาฆ่าแมลง ซึ่งเป็นข่าวดีสำหรับผึ้งและแมลงอื่น ๆ ที่กำลังลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว

  1. … และรับประกันความอยู่รอดของชุมชนท้องถิ่นและชนพื้นเมือง

ชุมชนท้องถิ่นและกลุ่มชนพื้นเมืองทั่วโลกกำลังถูกริดรอนสิทธิ ซึ่งส่งผลให้เกิดการทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของพวกเขา ไม่เพียงเท่านั้น ชนพื้นเมืองยังต้องเผชิญกับการถูกข่มขู่ ความใช้ความรุนแรง และแม้กระทั่งการฆาตกรรม เนื่องจากมีความขัดแย้งกับบริษัทและรัฐบาลที่พยายามใช้ประโยชน์จากที่ดินของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการทำเหมือง การตัดไม้ หรือการเกษตรเชิงอุตสาหกรรม

การลอบตัดไม้ในพื้นที่ของชนเมืองเมืองของบราซิล

ชนพื้นเมืองเหลืออยู้น้อยกว่าร้อยละ 5 ของประชากรโลก ถึงกระนั้นก็ตาม ดินแดนของพวกเขารวมกันเป็นหนึ่งในสามของพื้นที่ทางธรรมชาติที่เหลือทั้งหมด และพวกเขากำลังอยู่ในแนวหน้าที่ต่อสู้เพื่อปกป้องป่าไม้และพื้นที่ทางธรรมชาติอื่น ๆ การศึกษามากมายได้แสดงให้เห็นว่า พื้นที่ ๆ ปกครองโดยชนพื้นเมืองมีความหลากหลายทางชีวภาพมากกว่าที่อื่น รายงานที่ดินของคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ฉบับใหม่ชี้แจ้งอย่างชัดเจนว่าการเคารพและสนับสนุนชนพื้นเมืองมีความสำคัญมากต่อการทำให้ป่าไม้และพื้นที่ทางธรรมชาติอื่น ๆ มีสุขภาพดีและมีการจัดการที่ดี

  1. ผืนดินที่สุขภาพดีหมายถึงดินที่อุดมสมบูรณ์

การกำจัดพืชพรรณธรรมชาติเพื่อการเกษตรอย่างหนักหน่วงเป็นข่าวร้ายสำหรับดิน การใช้ที่ดินผืนเดียวกันในการผลิตพืชหลายชนิดในแต่ละปีและการใช้สารเคมีในปริมาณมาก ทำให้เกิดความเสียหายต่อความอุดมสมบูรณ์ของดิน จากข้อมูลของสหประชาชาติพบว่า หนึ่งในสามของผืนดินทั้งหมดมีความเสื่อมโทรมและเรากำลังสูญเสียดินที่อุดมสมบูรณ์ 24 พันล้านตันในทุก ๆ ปี เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการผลิตอาหารของเรา

วิถีเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนสามารถช่วยฟื้นฟูหน้าดินและปกป้องฝืนดินจากสารเคมี

การลดการรับประทานเนื้อสัตว์และปรับเปลี่ยนการทำการเกษตรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จะลดความกดดันต่อผืนดินและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดินได้ และดินก็ยังเป็นพื้นที่กักเก็บคาร์บอนที่สำคัญอีกแหล่งหนึ่ง ดังนั้นการรักษาดินให้อยู่ในสภาพดีจึงเป็นทางออกทางธรรมชาติในการรับมือกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศ

  1. สุขภาพของเราเองก็ดีขึ้นด้วย

หนึ่งในเก้าคนบนโลกนี้กำลังประสบกับความหิวโหยเพราะการเข้าถึงด้านอาหาร ดังนั้นจึงไม่มีความหมายที่จะใช้พืชผลมากมายในการเลี้ยงสัตว์หรือผลิตพลังงานชีวภาพ การใช้ที่ดินปลูกพืชให้ผู้คนแทน จะเป็นการจัดหาอาหารให้เพียงพอสำหรับทุกคน แต่เราต้องลดปริมาณการผลิตและลดการรับประทานเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นมเพื่อที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น

ลดการกินเนื้อและหันมากินผักให้มากขึ้นจะช่วยให้พื้นที่ในการทำการเกษตรเชิงอุตสาหกรรมเพื่อนำไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ลดลง

การปลูกพืชเพื่อให้คนรับประทานเป็นการใช้ผืนดินที่จะมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมอย่างมาก การเปลี่ยนไปรับประทานอาหารที่มีพืชเป็นหลัก โดยมีผัก ผลไม้ ถั่ว และเมล็ดพืชที่กินได้มากขึ้น จะหมายถึงความจำเป็นในการใช้ที่ดินเพื่อการเกษตรจะน้อยลงและสามารถให้สิ่งต่าง ๆ กลับคืนสู่ป่าได้อีกมากมาย การลดปริมาณการรับประทานเนื้อสัตว์ลงสามารถลดความเสี่ยงของอาการป่วยได้อีกด้วย เช่น โรคหัวใจและเบาหวานชนิดที่ 2 และในที่สุดก็จะสามารถยืดอายุผู้คนได้นานขึ้นอีกถึงสามปีครึ่ง

การสร้างความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะดีสำหรับสุขภาพของเรา แต่ยังเพื่อสุขภาพของดาวเคราะห์ดวงนี้อีกด้วย

ผู้เขียน

ดร. เรเยส ทีราโด ทำงานเป็นส่วนหนึ่งของห้องปฏิบัติการวิจัยของกรีนพีซ มหาวิทยาลัยเอ็กเซเตอร์ ในสหราชอาณาจักร เธอเป็นผู้นำการสำรวจภาคสนามและการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพการเกษตรและระบบอาหาร

ถึงเวลาปฏิวัติระบบอาหาร

ร่วมเรียกร้องให้ภาครัฐออกกฎหมายติดฉลากผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ทุกประเภทโดยเปิดเผยถึงข้อมูลการเลี้ยงสัตว์ ที่มาอาหารสัตว์ว่าเชื่อมโยงกับการทำลายป่าและก่อหมอกควันพิษหรือไม่ รวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะ และการตกค้างในเนื้อสัตว์

มีส่วนร่วม