ที่ผ่านมา ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าความไม่เป็นธรรมต่าง ๆ เช่น การใช้แรงงานทาส ความไม่เท่าเทียมทางเพศ หรือการทำลายระบบนิเวศนั้นยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายต่อผู้มีอำนาจแสวงหาผลประโยชน์จากความไม่เท่าเทียม ความจริงที่เป็นเหตุเป็นผล และมีศีลธรรมไม่สามารถหาได้ในระบบที่กดขี่เช่นนี้ ยกตัวอย่างเช่น ในปัจจุบัน แม้ว่านักวิทยาศาสตร์กว่าร้อยละ 99 จะยืนยันว่าภาวะโลกร้อนเกิดขึ้นเพราะกิจกรรมของมนุษย์ทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แต่รัฐบาลหลาย ๆ ประเทศกลับอยู่ใต้อำนาจของผู้มีอิทธิพล และได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุนที่สนับสนุนพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล

ดังนั้น เนื่องจากความเป็นเหตุเป็นผลที่ถูกจำกัด ความจริงเหล่านี้จึงถูกหยิบยกมาพูดถึงโดยประชาชน อย่างกรณีของ มหาตมะ คานธี ในอินเดีย หรือกรณีของเนลสัน แมนเดลาในแอฟริกาใต้มาจนถึงวิกฤตระบบนิเวศที่เกิดขึ้นทั่วโลกตอนนี้

ภาพของคานธีในปีค.ศ. 1920 © WikiImages

สำหรับนักกิจกรรมที่อยากเปลี่ยนแปลงสังคมแล้ว พวกเขาจะค้นหาใจความสำคัญเพื่อรณรงค์กับผู้คนมหาศาลเพื่อทำให้พวกเขาเข้าใจถึงความจริงดังกล่าว นักกิจกรรมจะเล่าความจริงที่เกิดขึ้นผ่านเรื่องราวและผ่านบุคคลที่มีความมุ่งมั่นเพื่อให้ผู้คนเข้าใจความจริงที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าการพูดเพียงแค่ความจริงและความเป็นเหตุเป็นผลเพียงอย่างเดียว เช่น การเดินทางไปทะเลเพื่อทำเกลือของคานธี หรือกรณีของ โรซ่า พาร์คส์ที่ปฏิเสธจะย้ายที่นั่งในรถบัส หรือคณะเควกเกอร์ที่ล่องเรือเข้าไปในเขตทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ หรือการที่กรีนพีซแล่นเรือไปขวางเรือที่มีการล่าวาฬ เป็นต้น

เมื่อปีที่ผ่านมา นักกิจกรรมกลุ่มกบฏต่อต้านการสูญพันธุ์ (Extinction Rebellion)ได้ปิดสะพานห้าแห่งในลอนดอนและปิดสตูดิโอหลายแห่งของสำนักข่าวบีบีซีเพื่อเรียกร้องให้โฆษกสถานี “บอกความจริงต่อสาธารณะ” เกี่ยวกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศและวิกฤตทางนิเวศวิทยา และในฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา พวกเขายังปิดพื้นที่บางส่วนบริเวณใจกลางกรุงลอนดอนเป็นเวลากว่า 11 วัน แม้ว่าจะมีประชาชนกว่าพันคนถูกจับกุม แต่ในวันที่ 7 ตุลาคม 2562 คนกลุ่มนี้ได้เริ่มต้นการรณรงค์ภายใต้ชื่อ “กบฏนานาชาติ” (International Rebellion)

เช่นเดียวกับปีที่แล้ว ที่เกรียตา ทุนแบร์ย เริ่มต้นหยุดโรงเรียนเพื่อมาประท้วงหน้ารัฐภาสวีเดน ซึ่งเธอกล่าวในการประชุมสภาพภูมิอากาศ COP24 ในโปแลนด์ว่า “หากระบบเดิมนี้ทำให้การแก้ปัญหาเป็นไปได้ยาก เราก็ควรต้องเปลี่ยนระบบเสีย”

ในวันที่ 20-27 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา การประท้วงของเกรียตา ทำให้เกิด การนัดหยุดเรียนเพื่อภูมิอากาศซึ่ง มีนักกิจกรรมเยาวชน 7.6 ล้านคน ใน 185 ประเทศ พร้อมทั้งสหภาพการค้า 73 แห่ง และธุรกิจ 3,000 แห่งเข้าร่วมการนัดหยุดเรียนในครั้งนี้ ซึ่งอารยะขัดขืนและการเคลื่อนไหวสาธารณะในครั้งนี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ เนื่องจากประชาชนมีความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งความหลากหลายทางชีวภาพที่ลดน้อยลง สารพิษ รวมไปถึงวิกฤตในระบบนิเวศโดยรวม

เหตุใดอารยะขัดขืนจึงเป็นสิ่งจำเป็น

ในปัจจุบันอาจเป็นเรื่องยากที่จะนึกถึงภาพการอารยะขัดขืน แต่ในปี 2513 หรือช่วงยุค 70 นั้นแทบไม่มีการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม หรือหากมี ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเพียงแค่การอนุรักษ์สวนและการเรียกร้องให้จัดการการทิ้งขยะจากนักอนุรักษ์นิยมเท่านั้น ในเวลานั้น กรีนพีซก่อตั้งขึ้นโดยนักเคลื่อนไหวทางด้านสิทธิเสรีภาพและสันติภาพ โดยต้องการสร้างขบวนการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมระดับโลก เพราะเพียงแค่การอธิบายความเป็นไปของระบบเนิวศในเชิงวิทยาศาสตร์นั้นไม่เพียงพอ แต่เราจำเป็นต้องให้สาธารณชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้ง สาธารณชนเหล่านี้จำเป็นต้อง “รู้สึก” ถึงปัญหาไม่ใช่เพียงแค่ “เข้าใจ” ว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างเดียว

ในช่วงยุค 70 เราจำเป็นต้องปรับการสื่อสารเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อมใหม่เพื่อเปิดเผยคำโกหกในประเด็นสิ่งแวดล้อมที่กระทำอยู่คือการกล่าวอ้างของกลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มทุนว่าพวกเขาได้ “สร้างความมั่งคั่ง” ในขณะที่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากำลังทำลายความมั่งคั่งที่แท้จริง นั่นคือระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์และชุมชนที่มีสุขภาพดี 

เราต่างทราบดีว่าชีวิตของมนุษย์ขึ้นอยู่กับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แต่กลุ่มอุตสาหกรรมกลับใช้ทรัพยากรธรรมชาติจนเกินขีดจำกัด และแม้ว่าประเด็นนี้จะไม่เป็นที่รับรู้ในระดับโลก แต่มันคือความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นเพื่อให้เคารพกับทุกชีวิตบนโลกนี้ ก็ต้องปรับเปลี่ยนการสื่อสารในประเด็นสิ่งแวดล้อมเสียใหม่

ในปี พ.ศ. 2518  กรีนพีซเปลี่ยนการ “พูด” ประเด็นสิ่งแวดล้อม เป็นการใช้วิธีล่องเรือลำเล็กชื่อ ฟิลลิส คอร์แมค ออกสู่มหาสมุทรเพื่อเผชิญหน้ากับกองเรือนักล่าวาฬ เราขัดขวางนักล่าวาฬและกลับมาพร้อมกับภาพของการสังหารหมู่ เลือดในน้ำ ชายหนุ่มและหญิงสาวที่กำลังปกป้องวาฬ และภาพการขโมยทรัพยากรของอุตสาหกรรมอันเสื่อมโทรม

Soviet Whaling Action in North Pacific. © Greenpeace / Rex Weyler

เรือยางของกรีนพีซแล่นอยู่ข้าง ๆ วาฬที่ถูกจับ ระหว่างเรือล่าวาฬรัสเซียสองลำ ภาพดังกล่าวคือการรณรงค์ยุติการล่าวาฬครั้งแรกของกรีนพีซ

การรณรงค์แบบใหม่ได้เกิดขึ้นแล้ว พร้อมกับขบวนการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมสมัยใหม่ และเป็นการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีกว่าเดิมเพราะมีกลุ่มคนที่เป็นนักเคลื่อนไหวช่วยสื่อสารปัญหาสิ่งแวดล้อมที่จริงยิ่งขึ้น  และสิ่งสำคัญคือ เราสื่อสารประเด็นสิ่งแวดล้อมนี้ด้วยวิธีการสันติวิธี กล่าวคือ เป็นวิธีการที่ไม่ใช้ความรุนแรงและตรงไปตรงมา

จริง ๆ แล้ว การรณรงค์แบบนี้อาจไม่จำเป็นหากเราอาศัยอยู่ในสังคมภายใต้ความจริงทางศีลธรรมและมีเหตุผล แต่เราไม่ได้อยู่ในสังคมแบบนั้น เราอาศัยอยู่ในสังคมที่ถูกควบคุมด้วยเงินและอำนาจ สังคมที่ถูกชนชั้นสูงกลุ่มเล็ก ๆ ผลาญทรัพยากรไปไว้จนสร้างความเสียหายให้กับกลุ่มคนส่วนใหญ่และสิ่งแวดล้อม

เรารู้จากประวัติศาสตร์ว่าอำนาจมีพลังมากมายแค่ไหน ผู้มีอำนาจมักจะใช้ประโยชน์จากอำนาจของพวกเขาเพื่อทำให้ตนเองยิ่งมีพลังอำนาจมากขึ้น อำนาจไม่เคยถูกสละอย่างเต็มใจ อารยะขัดขืนอย่างสงบทำให้เราสามารถส่งสิทธิส่งเสียงไปถึงผู้มีอำนาจได้ ผ่านความเข้มแข็งและการรวมตัวของผู้คน

ด้วยระบบต่าง ๆ ของสังคมที่เป็นอยู่นี้ ส่งผลให้การทำลายสิ่งแวดล้อมไม่ถือว่าเป็นอาชญากรรมต่อมนุษย์และธรรมชาติ เช่น เชฟรอนปฏิเสธว่าบริษัทไม่ได้เป็นบ่อนทำลายชุมชนในเอกวาดอร์ด้วยกากสารพิษและกากน้ำมัน ส่วนมอนซานโตก็ปฏิเสธว่าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็ง และปัจจุบันอุตสาหกรรมน้ำมันก็ปฏิเสธสิ่งที่พวกเขาทราบดีมาตลอด นั่นคือการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นทั่วโลก

การรณรงค์ของขบวนการเคลื่อนไหวที่นำโดยเยาวชนในปัจจุบันได้เปิดเผยคำโกหกเหล่านั้น นี่คือผลจากการที่เราเปลี่ยนวิธีการรณรงค์ไปสู่สาธารณะมากขึ้น ดังเช่นการประท้วงของคานธี เนลสัน แมนเดลา และเหตุการณ์ของกลุ่มเควกเกอร์ เราเดินเข้าสู่สนามประลองพร้อมกับจุดแข็งของเรา นั่นคือความแข็งแกร่ง ข้อมูลความจริง คุณธรรมจริยธรรม และพลังของสาธารณชน ถึงแม้ว่ากลุ่มอุตสาหกรรมและกลุ่มทุนจะยังคงโต้แย้งกับเรา ดังที่พวกเขาได้ทำมาจนถึงวันนี้ แต่เมื่อเราได้ปรับเปลี่ยนการสื่อสารของเราให้จริงมากยิ่งขึ้น พวกเขาก็จะไม่สามารถกลบเรื่องราวที่เราต้องการจะบอก และกลยุทธ์ในการสื่อสารแบบนี้ออกไปได้

เหมือนที่อังกฤษไม่สามารถขจัดภาพความโหดร้ายของตนเองที่กระทำกับกลุ่มประท้วงโดยคานธีในอินเดียได้ สหรัฐอเมริกาและแอฟริกาใต้ไม่สามารถขจัดภาพความอยุติธรรมและความโหดร้ายของการเหยียดสีผิวที่ถูกเปิดเผยออกมาโดยกลุ่มสิทธิพลเมืองได้ นี่คือพลังของการเล่าเรื่องอย่างมีศีลธรรมที่ทำได้ผ่านการรณรงค์อย่างสันติวิธี

เดวิด กับ ยักษ์โกเลียธ

Soviet Whaling Action in North Pacific. © Greenpeace / Rex Weyler

ลูกเรือ ไอลีน ชีเวอร์ และ เฟรด อีสตัน ของกรีนพีซในภารกิจต่อต้านการล่าวาฬครั้งแรกของกรีนพีซ พร้อมป้ายที่มีคำว่า “Nyet” หรือ “ไม่” ในภาษารัสเซีย เหนือภาพของวาฬที่กำลังจะตาย

ในอดีต เมื่อประชาชนต้องเผชิญกับความอยุติธรรมจากรัฐบาล นายทุน หรือบริษัทต่าง ๆ พวกเขาเผชิญคู่ต่อสู้ที่ได้ผลประโยชน์จากความอยุติธรรม ผู้ได้รับผลประโยชน์จากความไม่สมดุลของอำนาจ การเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและความยุติธรรมในวันนี้ต้องเผชิญกับสถานะขององค์กรทางทหารที่ครอบครองทรัพยากรทางการเงินเกือบทั้งหมด ผูกขาดความรุนแรงของทางการ ควบคุมสื่อกระแสหลักส่วนใหญ่ สามารถสอดแนมและแทรกซึม และได้รับการสนับสนุนจากประชาชนโดยการข่มขู่และการโกงกิน การปฏิบัติเหล่านี้เป็นแบบอย่างของระบอบการปกครองที่ทรงพลังตั้งแต่ยุคอาณาจักรโบราณจนถึงบริษัทสมัยใหม่

ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้ที่อ่อนแอกว่าจะต้องค้นหากลวิธีในการเผชิญหน้าที่หลีกเลี่ยงจุดแข็งของคู่ต่อสู้ เอาชนะข้อจำกัดของตนเอง ใช้จุดแข็งที่มีขีดจำกัดของผู้คน และไขความกระจ่างของประเด็นที่ต้องการจะสื่อในเวลาเดียวกัน

ประชาชนทั่วไปไม่มีเงินและอำนาจ แต่เรามีอะไร? ความจริงทางศีลธรรม ความแข็งแกร่งของกันและกัน ความคิดสร้างสรรค์ ความมั่งคั่งที่แท้จริงของชุมชนที่เกื้อกูลกัน ความเป็นผู้นำทางศีลธรรมที่แท้จริง คำมั่นสัญญาที่จะทำงานเพื่อความจริงทางศีลธรรมโดยไม่หวังผลประโยชน์ส่วนตัว และพลังที่จะบอกเล่าเรื่องราวของเรา พลังของการเล่าเรื่องที่จะเปิดเผยเรื่องราวการฉ้อโกงของชาวอาณานิคม โจรผู้บุกรุก และผู้กดขี่ ในยุคของเรา การบรรยายเรื่องราวฉ้อโกงนี้ ถูกเล่าโดยผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ซึ่งรวมเอาความเข้าใจผิดเกี่ยวกับความยุติธรรมทางเศรษฐกิจและการปฏิเสธเรื่องสภาพภูมิอากาศอย่างซึ่งหน้าเข้าไปด้วย

เหตุใดจึงต้องไม่ใช้ความรุนแรง

Protest at Shell Depot in Batangas, Philippines. © Greenpeace

นักกิจกรรมกรีนพีซและผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศเรียกร้องด้วยสันติวิธีต่อบริษัทที่เป็นหนึ่งในสาเหตุของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู้ชั้นบรรยากาศ

แม้ว่าเราอาจยึดมั่นในปรัชญาของการไม่ใช้ความรุนแรงต่อบุคคลหรือทรัพย์สิน นักเคลื่อนไหวอาจรู้สึกหงุดหงิดกับการหลอกลวง ความอยุติธรรม และการเปลี่ยนแปลงที่เชื่องช้า ฉันเคยรู้สึกโกรธหลายครั้งและบางครั้งก็นึกถึงโลกที่ มาร์ค แอนโทนี พูดถึง จากบทที่สามใน จูเลียส ซีซาร์ ของเช็คสเปียร์

โอ อภัยข้า ผืนพสุธารุเธียรนอง

ข้าโอนอ่อนต่อฆาตกรผองนั้น

ถึงกระนั้นก็ตาม เราจะยังคงไม่ใช้ความรุนแรง เราฝืนกลืนความโกรธของเราและแสดงการต่อต้านอย่างสันติ เราจะต้องอยู่อย่างสันติที่สุดและสิ่งนี้ยังคงเป็นจุดแข็งของการดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา เพื่อที่จะเล่าเรื่องความจริงทางศีลธรรมได้อย่างประสบความสำเร็จ

ความรุนแรงอยู่ในเงื้อมมือของสถานะชนชั้นสูง พวกเขาจะใช้กระทั่งความรุนแรงเล็ก ๆ เป็นข้ออ้างในการกดขี่ประชาชน เรารู้ว่าคุณธรรมความซื่อสัตย์ไม่สามารถเอาชนะเสมอไป แต่มีโอกาสที่จะชนะเมื่อใช้อย่างสงบ เมื่อฝึกฝนให้เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจและความรัก การกระทำอย่างตรงไปตรงมาจะเพิ่มความแข็งแกร่งให้มีเกินกว่าจำนวนเงินและความรุนแรง

ฉันเคยใช้เวลาอยู่ในคุก ฉันเคยถูกล้อเลียนและเยาะเย้ย ฉันเคยถูกข่มขู่และสอดแนม ช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาที่ฉันภาคภูมิใจที่สุด ช่วงเวลาเหล่านี้เป็นเวลาที่ฉันรู้ว่าฉันมีอำนาจที่จะเปลี่ยนสมดุลอำนาจจากความรุนแรงและเงินได้ เมื่อผู้มีอำนาจแสดงปฏิกิริยามากเกินไปโดยการกดขี่หรือความรุนแรง ฉันรู้ว่าการกระทำที่เรียบง่ายของฉันได้เปิดเผยการหลอกลวงของพวกเขาและความอยุติธรรมที่มืดมนของอำนาจที่ไร้การควบคุม

เมื่อผู้มีอำนาจโจมตีกลับด้วยความรุนแรงและการกดขี่ พวกเขาจะถูกเปิดเผย เราเรียนรู้สิ่งนี้ได้จากคานธีและเควกเกอร์ เราเรียนรู้สิ่งนี้ได้จาก โรซ่า พาร์ค และ เนลสัน แมนดาลา

หากตรรกะ สามัญสำนึก และความเหมาะสมขั้นพื้นฐาน สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ เราก็คงไม่จำเป็นต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา อย่างไรก็ตามประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าคุณธรรมที่ดีต้องรวมไปถึงการกระทำ สามัญสำนึกต้องใช้การมีส่วนร่วม และตรรกะทางศีลธรรมต้องการหลักฐานที่มองเห็นได้ ค่านิยมเหล่านี้ต้องการการเล่าเรื่องที่มีชีวิตในชีวิตของผู้คน ผู้คนที่ต้องการสร้างโลกที่มีความยุติธรรมมากกว่าจะต้องมีส่วนร่วมกับการดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาโดยสันติ เพราะไม่เช่นนั้น ความจริงก็จะไม่ได้มีคุณค่าเหนือกว่าสิ่งอื่น

Fundraising Team in Manila. © Geric Cruz / Greenpeace
ร่วมบริจาค

ด้วยความช่วยเหลือจากคุณ ทำให้เราสามารถใช้วิธีการที่สร้างสรรค์อย่างสันติ เปิดโปงการทำลายสิ่งแวดล้อม ช่วยให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการปกป้องมหาสมุทร ป่าไม้ แหล่งน้ำ อาหาร และสภาพภูมิอากาศ ซึ่งล้วนเป็นระบบพื้นฐานสำหรับทุกชีวิตบนโลกใบนี้

มีส่วนร่วม