เนื่องจากเงื่อนไขของสภาพอากาศและความพยายามของรัฐบาลบราซิลที่จะปกป้องผืนป่าแอมะซอน ทำให้ในปี 2025 นี้ สถานการณ์ไฟป่าในแอมะซอนไม่วิกฤตนัก อย่างไรก็ตามแอมะซอนยังไม่ปลอดภัยเพราะแม้ว่าไฟป่าจะเบาบางลง แต่ผืนป่ายังคงถูกแย่งยึดและทำลายต่อไปอย่างเงียบเชียบ ไม่ว่าจะเป็นการยึดครองที่ดิน การถางป่าจนกลายเป็นทุ่งหญ้า และควันพิษที่คุกคามชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่รวมทั้งระบบนิเวศ

หากถามว่าทำไมป่าแอมะซอนจึงเกิดการคุกคามเช่นนี้ขึ้น คำตอบเป็นเพราะแอมะซอนไม่ได้ถูกเผาเพียงอย่างเดียว แต่ป่าแห่งนี้กำลังถูกขาย ถูกถาง ถูกล้อมรั้วพื้นที่ให้กลายเป็นทุ่งหญ้าเพื่อป้อนเข้าสู่เครื่องจักรอุตสาหกรรมเกษตรยักษ์ใหญ่ระดับโลก

Fires and Drought in Indigenous Territories of the Amazon. © Marizilda Cruppe / Greenpeace
ดินแดนของชนพื้นเมืองในแอมะซอนกำลังเผชิญกับการทำลายล้างผืนป่าหลากหลายรูปแบบและภัยแล้งรุนแรงและไฟป่า ซึ่งมีความรุนแรงขึ้นจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศรวมทั้งอาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมจากการทำเหมืองผิดกฎหมายและกิจกรรมอีกหลากหลาย © Marizilda Cruppe / Greenpeace

หลังไฟป่า ผืนป่ากลายเป็นทุ่งหญ้า วัว และเงิน

อ้างอิงข้อมูลจาก MapBiomas ระบุว่า ในปี 2024 ป่าแอมะซอนถูกเผาเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดใน 40 ปีที่ผ่านมา โดยพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบกว่า 15.6 ล้านเฮกตาร์ สูงกว่าค่าเฉลี่ยถึง 117% ข้อมูลนี้เป็นข้อมูลช็อกโลกทีเดียว ในขณะที่ไฟป่ากำลังลดลง การเข้ายึดแย่งพื้นที่และการทำลายป่ายังดำเนินต่อไป ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มทำปศุสัตว์ที่ป้อนเข้าสู่อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ การทำลายป่าเพื่อทำพื้นที่เลี้ยงวัวเพื่อเนื้อสัตว์อุตสาหกรรมจึงยังเป็นสาเหตุหลักของการทำลายป่าแอมะซอน

หนึ่งในผู้เล่นสำคัญคืออุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ขนาดใหญ่อย่างบริษัท JBS ซึ่งถูกเชื่อมโยงกับการทำลายป่ามหาศาลตลอดห่วงโซ่อุปทาน จากการสืบสวนพบว่าบริษัท JBS เชื่อมโยงกับการทำลายป่ามากกว่า 1.5 ล้าน เฮกตาร์ ตลอดห่วงโซ่อุปทาน ยิ่งไปกว่านั้น JBS เองยังยอมรับว่าซื้อวัวจำนวน 8,785 ตัวจากฟาร์มสามแห่งที่ Chaules Volban Pozzebon เป็นเจ้าของ หลังจากได้รับคำร้องเรียนโดย กรีนพีซ บราซิล สำนักข่าว Repórter Brasil และสำนักข่าว Unearthed ทำให้เจ้าของฟาร์มถูกจับกุมและถูกตัดสินจำคุกเป็นเวลา 99 ปี จากข้อหาหลายกระทง หนึ่งในนั้นคือข้อหาการตัดไม้ทำลายป่า และข้อหาการเป็นผู้ทำลายป่ามากที่สุดในประเทศ เขายังถูกตัดสินว่าผิดในการละเมิดสิทธิแรงงานขั้นร้ายแรงในฟาร์มแห่งหนึ่งอีกด้วย ยังมีการรับซื้อวัวจากฟาร์มอื่น ๆ ของ Chaules Volban Pozzebon ซึ่งผ่านเกณฑ์มาตรฐานทางสังคมและสิ่งแวดล้อม ในขณะเดียวกัน ผลวิเคราะห์จาก Mapbiomas เปิดเผยว่า ในปี 2024 ไฟป่าในแอมะซอนกว่า 55% เริ่มต้นในพื้นที่ทุ่งเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าไฟเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่อุบัติเหตุ

นี่ไม่ใช่การฟื้นฟู แต่คือการขูดรีดผืนป่า

การแย่งยึดพื้นที่เป็นภัยคุกคามส่งผลกระทบต่อชนพื้นเมืองและคนท้องถิ่น

ในสถานการณ์ไฟป่าแอมะซอน สิ่งที่ถูกละเลยจากหน้าข่าวคือผลกระทบต่อชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถื่นที่เป็นกลุ่มคนแนวหน้าที่จะได้รับผลกระทบ

เช่นเดียวกัน ในปี 2024 ฝุ่นพิษจากไฟป่าปกคลุมหลายเมืองในแอมะซอน บราซิล และกลายเป็นมลพิษทางอากาศ ในเมือง Porto Velho ฝุ่นพิษหนามากจนต้องหยุดการเรียนการสอน ไฟลท์บินถูกยกเลิก ตามรายงานจาก the Guardian ระบุว่า คลินิกท้องถิ่นเต็มไปด้วยผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ และมีอาการป่วยอื่น ๆ เช่น หายใจลำบาก ไมเกรน และระคายเคืองตา เป็นต้น

สำหรับชนพื้นเมืองและคนท้องถิ่นแล้ว ผลกระทบเหล่านี้ยิ่งซ้ำเติมวิกฤตที่พวกเขาเผชิญอยู่ในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นการเข้าไม่ถึงระบบสาธารณสุข ปัญหาแหล่งน้ำสะอาด และปัญหาการสูญเสียสมุนไพรป่าและพืชผล ฝุ่นพิษที่เกิดขึ้นสร้างผลกระทบมากกว่าความไม่สะดวกสบาย แต่เปิดปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรมนั่นคือปัญหาด้านสาธารณะสุขซึ่งกระทบกับสิทธิพื้นฐานของประชาชนทั้งสิทธิที่จะได้อยู่อากาศสะอาดและสิทธิอยู่อาศัยตามวิถีอีกด้วย

ทั้ง ๆ ที่กลุ่มชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นเป็นคนกลุ่มหลักในการพิทักษ์ปกป้อง ยืนหยัดต่อสู้กับไฟป่าและการทำลายผืนป่าแม้ว่าจะได้รับการสนับสนุนเพียงน้อยนิดก็ตาม

สถานการณ์ในแอมะซอนกำลังเข้าสู่ความฉุกเฉิน

เมื่อโลกให้ความสำคัญไปที่การฟื้นฟูป่าหลังฤดูกาลไฟป่า กลุ่มอุตสาหกรรมที่แสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรก็เข้ามาแทนที่ โดยออกแบบให้เกิดระบบที่ทำให้ดูเหมือน ‘ปกติ’ แต่ในขณะเดียวกันก็ค่อย ๆ กลืนกินผืนป่าไปทีละเฮกตาร์ แม้ว่าท้องฟ้าไร้ฝุ่นพิษก็จริงแต่นั่นไม่ได้หมายความว่าแอมะซอนจะปลอดภัย การทำลายผืนป่ายังคงดำเนินต่อไป ถึงเวลาที่เราต้องส่งเสียงให้ผู้คนได้รับรู้ภัยคุกคามที่เกิดในแอมะซอนได้แล้ว

เราต้องการพลังเสียงจากคุณ

ผืนป่าแอมะซอนพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การแก้ปัญหาที่แท้จริงจะมาจาก ‘คนอยู่กับป่า’ นี่เป็นเรื่องเร่งด่วนที่โลกจะต้องมีกองทุนให้กับกลุ่มชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นผู้พิทักษ์ผืนป่าโดยตรงเพื่อต่อกรกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ร่วมจับตาประเด็นนี้ในการประชุม COP30 ที่จะเกิดขึ้นที่บราซิลในปีนี้ © Nilmar Lage / Greenpeace

เสียงของคุณช่วยกระจายข่าวและช่วยผืนป่าแอมะซอนได้

แม้ไฟป่าในแอมะซอนมอดลงแล้ว แต่การแย่งยึดพื้นที่ทำลายผืนป่ายังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผู้นำโลกเตรียมเข้าร่วม COP30 ที่เมืองเบเล็ง (Belém) รัฐปารา ในเดือนพฤศจิกายน 2025 ซึ่งเป็นเมืองสำคัญของป่าแอมะซอน ดังนั้น ประเด็นป่าแอมะซอนจะต้องเป็นประเด็นสำคัญในการเจรจา เพราะแอมะซอนไม่ได้เป็นเพียงแค่แหล่งกักเก็บคาร์บอน แต่ยังเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตที่ถูกคุกคามอย่างต่อเนื่อง

กลุ่มผู้นำที่จะปรากฎตัวในการประชุม COP30 จะต้องให้คำมั่นสัญญาต่อแผนการ  ‘Action Plan for Implementation (API4Forests)’ ซึ่งเป็นมาตรการชัดเจนเพื่อหยุดการทำลายผืนป่าและฟื้นฟูป่าจากความเสื่อมโทรมภายในปี 2030

เสียงของคุณเป็นพลังให้กับแอมะซอนได้ง่าย ๆ ด้วยการส่งเจตจำนงถึงกลุ่มผู้มีอำนาจในการกำหนดนโยบาย ได้แก่ :

  • ยุติการแย่งยึดที่ดินและการขยายตัวของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ที่รุกรานระบบนิเวศ เช่นที่เกิดขึ้นในแอมะซอน
  • บริษัทอุตสาหกรรม เช่น JBS ต้องมีภาระรับผิดชอบต่อการทำลายสิ่งแวดล้อมและการสร้างมลพิษ
  • สนับสนุนให้กลุ่มชนพื้นเมืองสามารถปกป้องสิทธิของตนเองและสิทธิที่จะอยู่อาศัยในแผ่นดินของตัวเอง
  • สร้างกองทุนที่กลุ่มผู้นำชุมชนและกลุ่มผู้พิทักษ์ผืนป่าเข้าถึงได้โดยตรง

ร่วมส่งเสียงของคุณให้กับกลุ่มผู้นำโลกก่อนการประชุม COP30 กรีนพีซ จะนำข้อความของคุณส่งถึงกลุ่มผู้นำโลกและคัดง้างกับการทำลายล้างที่เกิดขึ้นหลังไฟป่าแอมะซอน


Alessandro Saccoccio หัวหน้าโครงการรณรงค์ Respect the Amazon กรีนพีซ สากล