สิทธิของประชาชนไปถึงไหน ขณะที่กำลังรอกฎหมายการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ หรือ PRTR คลอด หลังจากรัฐสภามีมติรับหลักการร่างกฎหมาย เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา 

เวที ‘นักสืบฝุ่น ครั้งที่ 4: ฝุ่นไม่รู้จักเขตแดน’ กรุงเทพมหานคร ได้ชวนตัวแทนภาคประชาชนและนักวิชาการมาพูดคุยกันถึงการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 เพื่อทั้งทำความเข้าใจปัญหาและการรับมือแก้ไข ข้อสรุปสำคัญจากเวทีครั้งนี้คือ ข้อมูลเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่สุด แต่ขณะนี้ประชาชนยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลจากแหล่งกำเนิดอุตสาหกรรมได้ 

กรีนพีซ ประเทศไทย และมูลนิธิบูรณะนิเวศ ได้มีโอกาสร่วมบทสนทนานี้และเห็นพ้องต้องกันว่า พรบ.PRTR จะเป็นเครื่องมือสำคัญที่นำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลมลพิษให้กับประชาชนและหน่วยงานรัฐได้รับทราบเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษได้ตรงจุด ไม่ใช่แค่แจ้งเตือนให้หยุดเรียนและ work from home 

มีอะไรอยู่ในฝุ่นกทม. สิ่งที่จะตอบคำถามนี้ได้คือกฎหมาย PRTR 

รู้หรือไม่ว่า ตอนนี้แม้ประเทศไทยจะมีค่ามาตรฐานฝุ่น PM2.5 (ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ต้องไม่เกิน 37.5 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) แต่ไม่มีค่ามาตรฐานสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในการปล่อยมลพิษกรุงเทพฯ

โจทย์สำคัญที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลต้องหาคำตอบเพื่อแก้ปัญหามลพิษคือ ต้องรู้ว่ามลพิษมาจากไหน ปล่อยออกมาเท่าไร และจากกิจกรรมประเภทใด โดยข้อมูลเหล่านี้ถูกนำมาเป็นหลักการเปิดเผยข้อมูลภายใต้ พรบ.PRTR ซึ่งประชาชนจะต้องสามารถเข้าถึงข้อมูลและตรวจสอบได้โดยไม่ต้องร้องขอเพื่อปกป้องสุขภาพและสิ่งแวดล้อมของเราได้ 

ผศ.ดร.อัจฉริยา สุริยะวงศ์ จากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า “ความเหลื่อมล้ำทางพื้นที่ที่เกิดขึ้นใต้ฝุ่น คือ กรุงเทพฯ มีโรงงาน 5,355 โรงงาน แต่ละเขตของกรุงเทพฯ จึงมีความเสี่ยงไม่เท่ากัน และไม่ใช่แค่จำนวนโรงงานเท่านั้น แต่ประเภทโรงงานก็สำคัญ ถ้าเอาฝุ่นมาดูจะเห็นว่ารูปร่างไม่เท่ากัน องค์ประกอบก็ไม่เท่ากัน ความเสี่ยงก็ไม่เท่ากัน”  

ความแตกต่างกันทางความเสี่ยง และอันตรายของฝุ่นที่เรามองไม่เห็นนั้นคือการตอกย้ำว่า พรบ.PRTR มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ซึ่งผศ.ดร.อัจฉริยา มองว่า “การจัดทำบัญชีการปลดปล่อยมลพิษจากแหล่งกำเนิด (Emission Inventory) จำเป็นจะต้องชัดเจนและคิดองค์รวม ละเอียดและโปร่งใส เพื่อนำไปสู่การจัดการที่ดี จึงจะเป็นกลไกที่ปกป้องสิทธิประชาชนในอากาศสะอาดได้ ปัจจุบันนี้ที่การแก้ไขมลพิษในเมืองยังโฟกัสที่คมนาคม เนื่องจากเราไม่มีฐานข้อมูลการปล่อยมลพิษ” 

แม้ว่ากรุงเทพฯ จะมีความพยายามในการเพิ่มพื้นที่สีเขียวเพื่อแก้ปัญหามลพิษทางอากาศ แต่สิ่งที่น่ากังวลคือ “หากไม่แก้ปัญหามลพิษตั้งแต่ต้นทาง” ผศ.ดร.อัจฉริยา กล่าว “ก็จะเป็นมหานครที่ยั่งยืนไม่ได้” และการแก้ปัญหาของฝุ่นกรุงเทพฯ ยังเป็นเพียงการแก้ตามการคาดการณ์ว่าวันใดจะมีค่าฝุ่นสูง ซึ่งไม่ใช่การแก้ที่ตรงจุด การประกาศปิดโรงเรียน หรือห้ามรถเข้าเป็นแค่เชิงรับสถานการณ์ เมืองสีเขียวยั่งยืนไม่ใช่การปิดโรงงาน แต่คือการปรับโรงงานให้ตรงกับคุณภาพอากาศและคุณภาพชีวิต”

ผศ.ดร.อัจฉริยา ย้ำว่า “PRTR เป็นกฎหมายหนึ่งที่จะสร้างความโปร่งใส นำไปสู่มหานครที่ยั่งยืนด้วยกัน เพราะอากาศสะอาดไม่ใช่แค่สิทธิพื้นฐาน แต่เป็นเงื่อนไขในการพัฒนาเมืองและเศรษฐกิจ และ Emission inventory ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพรบ. PRTR  จะเป็นสิ่งที่ยกระดับการจัดการอย่างจริงจัง และต้องอาศัยกรอบแนวทางจากภาครัฐในการบังคับใช้และกำหนดทิศทาง ซึ่งต้องอาศัยการทำงานแบบบูรณาการของภาครัฐ”

จากโรงไฟฟ้าสู่ฟ้าเมืองกรุง: กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล 19 โรง 

ไทม์ไลน์การบังคับใช้ ร่างพรบ. PRTR คาดมีผลในปี 2570 แต่ขณะนี้ เรารู้กันไหมว่า ใต้ฟ้าสีครามเมืองหลวงของประเทศไทยมีสารพิษอะไรอยู่บ้าง 

ผศ.ดร.อัจฉริยา กล่าวว่า “การเผาเป็นฤดูกาล แต่ฝุ่นจากอุตสาหกรรมเกิดขึ้นทั้งปี” จากข้อมูลของกรีนพีซ ประเทศไทยระบุว่า กรุงเทพฯ และปริมณฑลมีโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลรวมกัน 19 โรง และเผยว่าโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลยังเป็นแหล่งปล่อยมลพิษที่ไม่อาจมองข้ามได้ ซึ่งละอองอินทรีย์ขั้นทุติยภูมิ (Secondary Organic Aerosols-SOAs) ทำปฏิกิริยากันระหว่างออกไซด์ของไนโตรเจน (NOx) และออกไซด์ของซัลเฟอร์ (SOx) สารมลพิษที่ปล่อยออกมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลักกับสารอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) ในปริมาณที่มีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของฝุ่นพิษ PM 2.5 สะท้อนให้เห็นว่าละอองอินทรีย์ขั้นทุติยภูมิ มีบทบาทสำคัญมากขึ้นต่อปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5 ในกรุงเทพฯอัญชลี พิพัฒนวัฒนากุล ผู้จัดการงานรณรงค์ กรีนพีซ ประเทศไทย กล่าว “โดยโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิล 19 แห่งนี้ มีกำลังผลิตรวม 4,700 เมกะวัตต์ (MW) และปล่อย NOₓ รวมกัน 127.24 ตัน/วัน และในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลนั้นเป็นพื้นที่ที่พบไนโตรเจนไดออกไซด์สูงสุดในไทย” 

แม้เราจะรู้จำนวนโรงไฟฟ้า และคาดการณ์ปริมาณการปล่อยสารพิษรวมได้ แต่เราไม่รู้เลยว่าโรงไฟฟ้าตำแหน่งไหน ปล่อยจำนวนเท่าไร เนื่องจากไม่มีการรายงานการปล่อยมลพิษองค์รวมจากปลายปล่องว่ามีการปล่อยมลพิษองค์รวมเท่าไร ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ และออกไซด์ของไนโตรเจนเป็นสาเหตุของโรคทางเดินหายใจ และปอด หากรับเข้าไปแบบเฉียบพลัน และเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคเรื้อรังหากรับเข้าไปในระยะยาว โดยอัญชลี เผยว่า เกณฑ์มาตรฐานการปล่อยออกไซด์ของไนโตรเจนของประเทศไทยอยู่ที่ 96ppm ขณะที่เกาหลีตั้งปริมาณควบคุมไว้เพียงแค่ 15ppm ความแตกต่างในการควบคุมที่ดูราวกับไม่ได้คำนึงถึงสุขภาพของประชาชนเช่นนี้ ทำให้ตั้งคำถามไม่ใช่เพียงว่า ปอดของคนไทยกับเกาหลีต่างกันหรือไม่ แต่กลับไปไกลถึงคำถามว่า หากทิศทางพลังงานของไทยกำลังก้าวสู่การพึ่งพาก๊าซฟอสซิล เราได้ศึกษาผลกระทบโดยรวมและตั้งเกณฑ์มาตรฐานที่คำนึงถึงการปกป้องสุขภาพของประชาชนแล้วหรือยัง

อัญชลี ระบุเพิ่มว่า สารพิษตั้งต้นหลักที่มีที่มาจากอุตสาหกรรม โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าก๊าซฟอสซิลนั้น เป็นอีกสาเหตุที่พรบ.PRTR จะต้องระบุชื่อสารอันตราย “ความเร่งด่วนคือข้อมูล ถ้าเราไม่รู้ข้อมูลฝุ่นภาคอุตสาหกรรมจะนำไปสู่การแก้ไขที่ไม่ถูกต้อง” อัญชลี กล่าว และฝากถึงรัฐบาลอนุทินว่า “พรบ.PRTR จะส่งเสริมให้การจัดการและนำไปสู่การมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ นี่เป็นกฎหมายที่สำคัญ ที่จะต้องนำไปสู่การบังคับใช้จริงโดยเร็วที่สุด 4 เดือนหลังจากนี้ คือช่วงเวลาสำคัญที่อยากให้รัฐบาลเร่งปล่อยกฎหมาย PRTR และพัฒนาต่อเป็นกฎหมายลูกต่อไป เพื่อสิทธิมนุษยชนของประชาชน”

และสิ่งสำคัญที่กรีนพีซ ประเทศไทยเรียกร้องเพื่อความยั่งยืนของการพัฒนาเมืองที่คำนึงถึงสุขภาพคือ การยกระดับคุณภาพอากาศในกรุงเทพฯ ด้วยการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่สะอาดและเป็นธรรม

“มลพิษทางอากาศที่สมุทรสาครสามารถถึงกรุงเทพฯได้แน่นอน”

คำขวัญจังหวัดที่กล่าวว่า “เมืองประมง ดงโรงงาน…” แสดงถึงความเหลื่อมล้ำทางการพัฒนาของพื้นที่ต่าง ๆ ในประเทศไทย ที่ทำให้จังหวัดหนึ่งที่ใกล้พื้นที่ศูนย์กลางได้กลายเป็นพื้นที่สีม่วงรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรม นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งแม้จะเป็นจังหวัดเล็ก ๆ แต่กลับเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยโรงงานอุตสาหกรรมที่มีจำนวนมากถึง 6,000 โรงงาน ประกอบไปด้วยอุตสาหกรรมรีไซเคิล อุตสาหกรรมหล่อหลอมโลหะและอโลหะ อุตสาหกรรมที่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิง ในบางพื้นที่มีโรงงานจำนวนหลักร้อยแห่งกระจุกตัวอยู่ในซอยเดียวกัน บางแห่งก็อยู่ใกล้โรงเรียน

นี่คือข้อกังวลของ ฐิติกร บุญทองใหม่ ผู้จัดการแผนงานมูลนิธิบูรณะนิเวศ ที่นำไปสู่งานวิจัยการเก็บตัวอย่างฝุ่นและ PM2.5 ของพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ที่ส่งผลกระทบต่อกรุงเทพฯ จัดทำโดย มูลนิธิบูรณะนิเวศ วิเคราะห์ปริมาณฝุ่น รวมทั้งโลหะหนัก และไดออกซินในฝุ่น โดยมีข้อค้นพบดังต่อไปนี้

  • พื้นที่ อ.เมือง จ.สมุทรสาครประสบปัญหามลพิษทางอากาศรุนแรงจากฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 เป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่บริเวณซอยกองพนันพล ที่ตั้งอยู่ ต.บางน้ำจืด อ.เมือง ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมของโรงงานหลอมหล่อและรีไซเคิลอโลหะและโลหะจำนวนมาก และหลายโรงงานใน จ.สมุทรสาคร เป็นโรงงานขนาดเล็กและไม่มีระบบการควบคุมและกำจัดเขม่าควันและสารมลพิษที่เพียงพอ กลายเป็นแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศที่มีความอันตรายต่อสุขภาพประชาชน
  • งานศึกษาของมูลนิธิบูรณะนิเวศ ปี พ.ศ.2561 พบโลหะหนักในตะกอนดินหลายชนิดในหลายจุดเก็บตัวอย่างเกินค่ามาตรฐาน และยังพบการปนเปื้อนของสาร POPs ชนิดไดออกซิน/ฟิวแรน ในไข่ไก่ปริมาณ 84.04 pg WHO-TEQ/g fat เป็นต้น
  • จากการเก็บตัวอย่างฝุ่นเพื่อวิเคราะห์สารอันตรายในพื้นที่ใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมรีไซเคิลหล่อหลอม ในต.นาโคก อ.เมือง สมุทรสาคร พบว่า ค่าที่สูงที่สุดอยู่ที่โรงเรียนสมุทรสาครวุฒิชัย (83.29 มคก./ลบ.ม.ค่าเฉลี่ย 24 ชม.) โดยเป็นโรงเรียนที่มีนักเรียนราว 3,000 คน ในฝุ่นพบสารไดออกซิน และโลหะหนัก 9 ชนิด รวมถึงปรอท และพบว่าค่าฝุ่นที่เก็บในปี 68 สูงขึ้นกว่าปี 66 (36.33 มคก./ลบ.ม.) 

ตัวเลขและข้อมูลที่ดูซับซ้อนนี้ คือสิ่งที่เราไม่รู้ แต่กำลังหายใจเข้าไปพร้อมกับฝุ่น หรือมลพิษที่เรามองไม่เห็น “ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่าไม่ใช่แค่ฝุ่น PM2.5 มีอันตราย แต่องค์ประกอบของฝุ่น PM2.5 ก็อันตรายมาก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องให้ความสนใจ และต้องมองลึกเข้าไปในความอันตรายของฝุ่น” ฐิติกร เผย “มลพิษทางอากาศที่สมุทรสาครสามารถถึงกรุงเทพฯ ได้แน่นอน เพราะมีบางจุดที่ระยะห่างแค่สิบกิโลเมตร”

ที่น่าสะเทือนใจสำหรับผู้ปกครองและครูที่โรงเรียนที่ได้ทราบผลค่าฝุ่นอันตรายนั้น ฐิติกร ได้เล่าว่า “เราได้ส่งผลการวิเคราะห์ฝุ่นให้โรงเรียนดู แต่โรงเรียนทำอะไรไม่ได้ เนื่องจากไม่รู้ว่าฝุ่นนี้มาจากไหน เมื่อฝุ่นมา การแจ้งเตือนก็ล่าช้าหรือไม่มี และข้อมูลการปล่อยมลพิษยังถูกปิดเป็นความลับ เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าโรงงานในชุมชนเราปล่อยมลพิษอะไรบ้างเยอะเท่าไร บ้างก็บอกว่าเป็นความลับทางการค้า ถ้ามี กฎหมาย PRTR จะบังคับให้ผู้ก่อมลพิษทุกแห่ง ทุกขนาด ต้องรายงานการปล่อยและเคลื่อนย้ายข้อมูลให้หน่วยงานที่กำกับดูแล และเปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ ปล่อยเท่าไร และทำตามมาตรฐานไหม นี่จะเป็นสิ่งสำคัญในการบังคับใช้กฎหมายอื่น ๆ ตามมา”

ฐิติกร ย้ำเสริมว่า “เราไม่ได้ค้านหรือต่อต้านอุตสาหกรรม และความสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่สิ่งแวดล้อมและผลกระทบต้องได้รับความสำคัญเช่นกัน จะต้องพัฒนาทั้งสองด้านไปพร้อมกัน เพราะบางครั้งผลกระทบไม่สามารถแก้ไขได้ เช่น ผลกระทบทางสุขภาพ” 

เมื่อเทียบกับต่างประเทศ ฐิติกร ระบุว่า “พื้นที่อุตสาหกรรมในจังหวัดสมุทรสาคร ประเทศไทย ค่าสูงสุดมีค่าสูงกว่าประเทศญี่ปุ่นถึงเกือบ 5 เท่า” แต่หากมีความตั้งใจจริง มีตัวอย่างที่ปรากฎให้เห็นแล้วในการดำเนินการของรัฐบาลจีนในการแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศด้วยนโยบาย Blue Sky เพื่อควบคุมอุตสาหกรรมทุกประเภทที่ก่อให้เกิดมลพิษทางสิ่งแวดล้อมทั้งดิน น้ำ อากาศ เพียงแค่ไม่ถึงสิบปี ก็แก้ปัญหาได้ เนื่องจากบังคับใช้ที่ต้นตอ ถือว่าประสบความสำเร็จและเห็นได้จริง “ความหวังต่อรัฐบาลชุดนี้คือ เราต้องการเห็นกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงทรัพย์ฯ ดำเนินงานภายใต้กรอบกฎหมายอย่างจริงจัง ตามค่ามาตรฐานที่ประเทศไทยมี และสนับสนุนร่างกฎหมาย ทั้งกฎหมายอากาศสะอาดและกฎหมาย PRTR ให้มีความเข้มแข็งในการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและปัญหามลพิษของไทยอยย่างยั่งยืน” 

ปัญหาฝุ่นพิษไม่ใช่เรื่องไกลตัว ข้ามพรมแดนเขตจังหวัดและประเทศได้อย่างที่เรารู้กัน ทว่ามลพิษจากจังหวัดข้างเคียงอย่างมลพิษทางอากาศที่สมุทรสาครนั้นสามารถถึงกรุงเทพฯ ได้แน่นอน ฐิติกร อธิบายว่า มีบางจุดที่ระยะห่างแค่สิบกิโลเมตร นี่จึงย้ำถึงความจำเป็นอันเร่งด่วนของกฎหมาย PRTR “สาระสำคัญของร่าง PRTR คือ บัญชีรายชื่อสารเคมีที่บังคับให้ผู้ก่อมลพิษต้องรายงาน คือ อย่างน้อย 9 กลุ่ม 108 รายชื่อสารเคมี ที่จะส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน และต้องให้ประชาชนเข้าถึงได้โดยง่าย” ฐิติกร กล่าว และเป็นประเด็นสำคัญที่ประชาชนและภาคประชาสังคมต้องคอยตรวจสอบก่อนที่พรบ.จะออกมาบังคับใช้จริง 

ประชาชนทั้งในกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียงกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงโดยไร้ข้อมูลและไร้การปกป้อง และเป็นเช่นนี้มาอย่างยาวนาน การเติบโตทางเศรษฐกิจและการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนไม่ควรจะต้องทิ้งใครไว้ข้างหลัง ไม่ว่าจะเป็นต่างจังหวัด หรือกรุงเทพฯ ชั้นนอก และไม่ควรจะแลกสุขภาพของประชาชนไปกับการปกปิดข้อมูลมลพิษ พรบ.PRTR แม้จะไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำได้ แต่จะเป็นหมุดหมายสำคัญในการเพิ่มความเป็นธรรมให้กับประชาชนในการปกป้องตนเอง เหลือแค่เพียงรัฐบาลชุดนี้ทำงานเคียงข้างกับประชาชนเพื่อพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น ร่วมผลักดันให้กฎหมายนี้ให้บังคับใช้จริงโดยเร็ว

#หยุดปกปิดข้อมูลมลพิษ #ThaiPRTR