อัมสเตอร์ดัม – จากการตอบสนองต่อรายงานสรุปสภาพภูมิอากาศโลกปี 2567 โดยองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (WMO), Copernicus, Met Office, NASA และองค์กรติดตามสภาพภูมิอากาศอื่น ๆ ซึ่งพบว่ามีสภาพอากาศสุดขั้วแบบใหม่เกิดขึ้นในปี 2567 [1] รายงานสรุปว่าปี 2567 เป็นปีที่ร้อนที่สุดในประวัติศาสตร์การบันทึก มีการทำลายสถิติอุณหภูมิเฉลี่ยรายวันของโลก แผ่นน้ำแข็งรอบแอนตาร์กติกาและอาร์กติกลดลงอย่างมาก รวมถึงระดับคาร์บอนไดออกไซด์และมีเทนที่เพิ่มสูงขึ้น จนทำให้โลกก้าวข้ามระดับ 1.5°C เต็มหนึ่งปีปฏิทิน
เอียน ดัฟฟ์ หัวหน้าแคมเปญ “Stop Drilling Start Paying” ของกรีนพีซสากล กล่าวว่า
“ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังใส่ตัวเลขให้กับสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่รู้อยู่แล้วว่าเป็นปีที่ ‘นรกสุด ๆ’ เลยจริง ๆ ตั้งแต่ไฟป่าที่กำลังเกิดขึ้นในแคลิฟอร์เนีย ไปจนถึงภัยพิบัติก่อนหน้านี้ในอินเดีย โรมาเนีย อิตาลี บราซิล และแอฟริกาใต้ บ้านเรือนถูกน้ำท่วม ผลผลิตทางการเกษตรล้มเหลว ประชากรนับพันล้านคนต้องเผชิญกับความเครียดจากความร้อนและสูดดมอากาศเป็นพิษ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งปีที่บรรษัทน้ำมันและก๊าซสกปรกกอบโกยกำไรอย่างมหาศาลจากวิกฤตครั้งนี้”
“เราไม่อาจวางใจต่อบริษัทน้ำมันและก๊าซอย่างเชฟรอน เอ็กซอน เชลล์ หรือโททาลเอนเนอร์จีส์ ได้ว่าจะเปลี่ยนไปสู่พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและมีราคาจับต้องได้ด้วยตัวเอง ในปี 2568 เราขอเรียกร้องให้รัฐบาลรับฟังเสียงประชาชนและให้ผู้ก่อโลกเดือดเป็นผู้จ่ายค่าเสียหาย คำสัญญาต้องถูกแปรเป็นนโยบายที่เข้มแข็งเพื่อให้บริษัทตัวการโลกเดือดยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล และเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินเพื่อชดเชยผลกระทบและความเสียหายที่พวกเขาก่อขึ้น”
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 บริษัทน้ำมันรายใหญ่จะประกาศผลกำไรอีกหนึ่งปี ในขณะเดียวกัน มนุษยชาติส่วนใหญ่ยังคงเผชิญกับคลื่นความร้อน ภัยแล้ง ฤดูพายุไต้ฝุ่น และเฮอริเคน ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รวมถึงน้ำท่วม ซึ่งล้วนทวีความรุนแรงขึ้นจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เมื่อปีที่แล้ว กรีนพีซสากล และ Stamp Out Poverty ได้เผยแพร่ผลการวิเคราะห์ที่แสดงให้เห็นว่า แม้จะมีการเก็บภาษีเพียงเล็กน้อยจากบริษัทน้ำมันและก๊าซเพียง 7 แห่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็เพียงพอที่จะช่วยเหลือชุมชนและครัวเรือนทั่วโลกในการรับมือค่าใช้จ่ายจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศได้
จอห์น โนเอล นักรณรงค์ด้านสภาพภูมิอากาศอาวุโสแห่งกรีนพีซ สหรัฐอเมริกากล่าวว่า
“จุดเปลี่ยนที่โหดร้ายนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงลำพัง แต่เป็นผลลัพธ์จากการขัดขวางโดยเจตนาของผู้บริหารเชื้อเพลิงฟอสซิล พันธมิตรทางการเมืองของพวกเขา และชนชั้นนำของบรรษัทที่พวกเขารับใช้ ซึ่งขัดขวางไม่ให้เราจัดการวิกฤตครั้งนี้ในระดับที่จำเป็นยิ่งยวด เราต้องรื้อถอนมายาคติอันตรายที่เชื่อว่าการขยายตัวของเชื้อเพลิงฟอสซิลสามารถดำเนินต่อไปได้โดยไม่ต้องรับผลกระทบใด ๆ แต่เราควรฉวยโอกาสครั้งสำคัญในยุคสมัยของเรา เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานแบบคาร์บอนเหลือศูนย์ที่จำเป็นต่ออนาคตที่ปลอดภัยและครอบคลุมทุกคน”
ฟิลิป อีแวนส์ นักรณรงค์ของกรีนพีซ สหราชอาณาจักรกล่าวว่า
“รายงานที่น่าสลดใจนี้ยืนยันสิ่งที่พายุรุนแรง น้ำท่วม และไฟป่าที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเมื่อปีที่แล้วได้บอกเราอย่างชัดเจน นั่นคือ ผู้นำโลกกำลังล้มเหลวในการดำเนินมาตรการที่จำเป็นเพื่อรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ขณะที่ผู้คนนับล้านทั่วโลก รวมถึงที่นี่ในสหราชอาณาจักร ต้องพลัดถิ่นและเผชิญกับความหายนะจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว บรรษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อวิกฤตกลับยังคงกอบโกยกำไรเป็นพันล้าน พร้อมทั้งบ่อนทำลายการเจรจาสภาพภูมิอากาศระดับโลกและขัดขวางการเปลี่ยนแปลง”
“ขณะที่ผู้ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกกำลังกลับเข้าสู่ทำเนียบขาว คนอื่น ๆ จำเป็นต้องรับบทผู้นำโลกในการจัดการกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ คนส่วนใหญ่ในสหราชอาณาจักรต้องการเห็นผู้นำของเราลุกขึ้นเผชิญหน้านายทุนผู้ค้าเชื้อเพลิงฟอสซิล และบังคับให้พวกเขาหยุดขุดเจาะ แล้วเริ่มจ่ายค่าชดเชยความเสียหายที่พวกเขาก่อขึ้นแก่โลกและผู้คนที่อาศัยอยู่บนนั้น”
หมายเหตุ :