ฉันจำได้ว่าฉันตื่นเต้นมากที่เจออุรังอุตังครั้งแรก ฉันรู้สึกว่ากิ่งไม้บนต้นไม้สั่นไหวและมีเจ้าลิงอยู่บนต้นไม้นั้น อุรังอุตังกำลังเขย่ากิ่งไม้ ใบหน้าใหญ่ของมันกำลังจ้องมองมาที่ฉัน

โรซ่า อุรังอุตังป่าตัวเมียกำลังหาผลไม้ในอุทยานแห่งชาติชื่อ Gunung Palung เมืองกาลิมันตัน อินโดนีเซีย

แม้มันเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างน่ากลัว แต่มันก็ควรจะเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว เพราะอุรังอุตังเป็นสัตว์ป่าและมนุษย์เราไม่ควรจะไปใกล้ชิดเจ้าสิ่งมีชีวิตนี้มากนัก ตอนนั้นฉันยืนอยู่ตรงโคนต้นไม้และมองไปที่เจ้าอุรังอุตังตัวนั้น มันปีนลงมา เดาว่าคงเพื่อสำรวจ อุรังอุตังเหมือนกับมนุษย์มากจนฉันรู้สึกว่าเราสามารถพูดคุยกันได้ และถ้าเราคุยกันได้จริงๆมันคงพูดกับฉันว่า “เก่งมาก! ความยุ่งเหยิงที่พวกเธอสร้างขึ้นมันค่อนข้างเหลือเชื่อเลยล่ะ เผ่าพันธุ์ของเธอควรจะเป็นเผ่าอัจฉริยะ”

ฉันอยู่ในเขตอนุรักษ์สัตว์ป่าในจังหวัดกาลิมันตันและเราพบกับสิ่งมีชีวิตที่มีขนยาวสีส้มและมีแขนยาว อย่างไรก็ดี การพบกันของเราไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวังเพราะเขตอนุรักษ์สัตว์ป่าที่ควรจะมีพื้นที่พอที่จะเป็นถิ่นที่อยู่ของสัตว์ป่า (ที่โชคดี) แต่การกำหนดพื้นที่เขตอนุรักษ์สัตว์ป่ากลับเล็กเกินไป พื้นที่ถูกลดขนาดลงเพื่อมนุษย์ แต่อย่างน้อยครั้งนี้ก็ยังดีกว่าที่ผ่านมา เพราะหลายครั้งเราต้องช่วยสัตว์ป่าเหล่านี้ออกมาจากดินแดนแห้งแล้งไร้ต้นไม้

อุรังอุตังจะสูญพันธุ์ในชั่วพริบตา

บ้านของอุรังอุตังคือป่าฝนธรรมชาติ แต่ปัจจุบันป่าฝนธรรมชาติในอินโดนีเซียกำลังถูกทำลายด้วยอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม มีผลปาล์มจำนวนหนึ่งถูกแปรรูปไปเป็นน้ำมันพืชราคาถูกที่ขายตามซูเปอร์มาร์เก็ต

อุรังอุตังที่เราช่วยไว้สูญเสียบ้าน สูญเสียอิสระ แน่นอนพวกมันสูญเสียครอบครัวและต้องได้รับการดูแลโดยมนุษย์แทน แต่ก็ยังคงมีปัญหาตามมา เช่น มีจำนวนคนที่ดูแลไม่พอ สัตว์ที่ได้รับการช่วยเหลือและพักพิงอยู่ในศูนย์อนุรักษ์แห่งนี้มีจำนวนมากเกินไป เป็นต้น ส่วนเจ้าหน้าที่เองต่างก็อยู่ในภาวะเครียดและกังวล

เจ้าหน้าที่อุ้มอุรังอุตังที่อาศัยอยู่ในศูนย์อนุรักษ์อุรังอุตังสายพันธุ์บอร์เนียว ใจกลางเมืองกาลิมันตัน

การให้ความช่วยเหลือเป็นสิ่งจำเป็น อีกมุมหนึ่งมันคือที่พักพิงสุดท้ายของสัตว์ อย่างไรก็ตามแม้ว่าเราจะช่วยเหลือสัตว์เหล่านี้ได้แต่ก็ยังมีสัตว์ป่าอื่นๆอีกมากที่ต้องตาย เราต้องต่อสู้กับปัญหานานาที่เกิดขึ้นซึ่งก็เหมือนจะไม่มีวันชนะ เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยากช่วยชีวิตอุรังอุตังให้พ้นจากการสูญพันธุ์ เราต้องปกป้องถิ่นที่อยู่ของพวกมัน

เราผลิตน้ำมันปาล์มได้โดยไม่ต้องทำลายป่าฝน

กรีนพีซทำงานอย่างหนักเพื่อผลักดันให้แบรนด์ธุรกิจปรับปรุงกระบวนการผลิตผลิตภัณท์จากน้ำมันปาล์มโดยการผลักดันให้แบรนด์เหล่านี้รับซื้อน้ำมันปาล์มจากผู้ผลิตน้ำมันปาล์มที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำลายป่าไม้ และนี่คือความหวังสุดท้ายที่เราจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้

แบรนด์ธุรกิจต้องมีความรับผิดชอบ

กว่าสิบปีที่ผ่านมา แบรนด์ใหญ่ๆในโลกรวมไปถึงบริษัทยูนิลีเวอร์ เนสท์เล่ และบริษัทมอนเดลีซ (ปัจจุบันเป็นบริษัทในเครือเดียวกับแคดเบอรี) และบริษัทอื่นๆให้คำมั่นสัญญาที่จะหยุดใช้น้ำมันปาล์มที่ผลิตจากการทำลายป่าฝนเขตร้อน ภายในปี พ.ศ.2563 อย่างไรก็ดี พวกเขาเสียเวลาไปกว่า 2 ปี โดยที่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีมาตรการ “หยุดทำลายป่า” เพราะไม่มีบริษัทใดเลยที่เริ่มจัดการกับมาตรการการหยุดรับซื้อน้ำมันปาล์มจากผู้ผลิตที่ทำลายป่าไม้และยังไม่รู้สึกผิดถึงการผลิตผลิตภัณท์จาก “น้ำมันปาล์มที่สกปรก” (น้ำมันปาล์มนี้มาจากการทำลายป่าเพื่อทำสวนปาล์ม)

การทำลายป่าฝนในเมืองกาลิมันตัน นำพื้นที่ไปทำสวนปาล์ม

บริษัทใหญ่เหล่านี้ทำตามมาตรฐานของ “มาตรฐานการผลิตน้ำมันปาล์มอย่างยั่งยืน” หรือ อาร์เอสพีโอ เพียงผิวเผินเพื่อสร้างภาพลักษณ์ และหลังจากนั้น ผู้ผลิตนำมันปาล์มและผู้ประกอบการก็เพิกเฉยต่อมาตรการอาร์เอสพีโอและทำผิดกฎอีก มีรายงานเปิดเผยว่าอาร์เอสพีโอเองก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้

และเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา กรีนพีซสืบโยงไปถึง บริษัท วิลมาร์ บริษัทยักษ์ใหญ่ที่สุดที่เป็นผู้ประกอบการด้านน้ำมันปาล์ม วิลมาร์ยังเป็นหนึ่งในสมาชิกของคณะกรรมการในอาร์เอสพีโอและเป็นผู้ผลิตน้ำมันปาล์มให้กับแบรนด์อื่นๆ ด้วยวิธีการทำลายป่าฝนที่มีขนาดพื้นที่มากกว่าสองเท่าของกรุงปารีส เราจะปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้ดำเนินต่อไปไม่ได้

 ป่าฝนเขตร้อนคือปอดของโลก

สิบหกปีที่ผ่านมามีอุรังอุตังมากว่าหนึ่งแสนตัวต้องตาย เพราะการทำลายป่า บ้างก็ถูกยิงตายโดยชาวสวนที่ยังคงตัดป่าไม้เพื่อพื้นที่เกษตรกรรม บ้างก็ตายเพราะไม่มีที่อยู่อาศัยและอดอยาก บ้างก็ตายเพราะตกจากต้นไม้ที่กำลังถูกตัด และยังมีอุรังอุตังที่ขาดอากาศตายเนื่องจากการเผาป่าเพื่อเคลียร์พื้นที่สำหรับเพาะปลูก

อุรังอุตังยืนอยู่บนต้นไม้ที่ยืนต้นโดดเดี่ยวอยู่ในพื้นที่ที่กำลังถูกไถกลบกลายเป็นสวนปาล์ม เมืองกาลิมันตันตะวันตก

ยิ่งไปกว่านั้น อุรังอุตังไม่ใช่สัตว์เพียงชนิดเดียวที่ได้รับผลกระทบ แต่เสือสุมาตรา แรด และช้าง ก็ได้รับผลจากสภาพป่าที่เสื่อมโทรม แม้กระทั่งชาวบ้านในแถบนั้นก็ได้รับผลกระทบเช่นกันเพราะความขัดแย้งในพื้นที่อย่างรุนแรง เกิดการละเมิดและริดรอนสิทธิมนุษยชนและขับไล่ชาวพื้นเมืองออกจากถิ่นที่อยู่อาศัย

ตลอดยี่สิบห้าปีที่ผ่านมา พื้นที่ป่าในอินโดนีเซียถูกทำลายไปเท่าๆกับพื้นที่เกาะอังกฤษ ซึ่งทำลายความพยายามในการชะลอภาวะโลกร้อนที่เป็นภัยต่อเราทุกคน

พอแล้วกับแบรนด์ธุรกิจขนาดใหญ่ที่กลายเป็นฆาตรกรมือสอง เพราะว่าพวกเขารับซื้อน้ำมันปาล์มจากบริษัทผลิตน้ำมันปาล์มผู้เป็นฆาตรกรมือหนึ่ง (ฉันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ)

พอแล้วที่เราทำได้แค่รู้สึกเศร้าเมื่อเห็นรูปของอุรังอุตังกำพร้า ผอมโซจนใกล้ตาย เราสร้างการเปลี่ยนแปลงได้ และเราทำได้แน่นอน

 

มาดู Rang-tan กัน

ตอนที่กรีนพีซขอให้ฉันบรรยายภาพยนตร์แอนนิเมชั่นเรื่องใหม่ภาพยนตร์เรื่องนี้พูดถึงปัญหาของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มและเน้นย้ำว่าเราทุกคนมีพลังช่วยเพื่อนตัวสีส้มของพวกเราซึ่งฉันไม่ลังเลที่จะตอบรับ แคมเปญนี้เป็นแคมเปญระดับโลกเพื่อทุกคนจะได้มาต่อสู้กับปัญหานี้ไปด้วยกัน

ร่วมลงชื่อปกป้องอุรังอุตังที่นี่

ห้าร้อยวันฟังดูไม่นานนัก แต่ฉันหวังว่าเราจะรวบรวมพลังเสียงของเราเพื่อผลักดันให้เกิดการกดดัน เราจะหยุดความรู้สึกเสียใจที่มีต่อสิ่งมีชีวิตอันน่ามหัศจรรย์นี้ และเปลี่ยนเป็นความหวังที่จะพาเพื่อนตัวสีส้มกลับบ้านอีกครั้ง

 

Primary Forest in Papua. © Ulet  Ifansasti / Greenpeace
ร่วมปกป้องป่าฝนเขตร้อน

ป่าฝนเขตร้อนที่เป็นบ้านของอุรังอุตังกำลังถูกทำลายจากการขยายพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมัน หากเราไม่ทำอะไรเลย ถิ่นที่อยู่อาศัยของเหล่าสัตว์ป่าจะถูกทำลาย

มีส่วนร่วม