การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ครั้งที่ 30 (COP30) กำลังจัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายน 2025 ณ เมืองเบเล็ม ประเทศบราซิล สำหรับหลายคนแล้ว การประชุม COP อาจฟังดูเหมือนเป็นเวทีที่เต็มไปด้วยสุนทรพจน์ยืดยาวและการถ่ายรูป ซึ่งบางครั้งก็เป็นเช่นนั้นจริง  แต่ในอีกมุมหนึ่งการประชุม COP ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญในการต่อกรกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ นี่คือ 5 เรื่องที่คุณควรรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการประชุม COP30 นี้ จัดขึ้นที่เมืองเบเล็มซึ่งอยู่บริเวณขอบผืนป่าแอมะซอน 

1.การประชุม COP คืออะไร

COP ย่อมาจาก Conference of the Parties หรือในชื่อทางการคือ การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Conference of Parties to the United Nations Framework Convention on Climate Change: COP)  ซึ่งเป็นการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศประจำปี ภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) ข้อตกลงระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1992 (พ.ศ.2535)

ปัจจุบันมีประเทศภาคีรวม 198 ประเทศ ทำให้ UNFCCC เป็นหนึ่งในกลไกพหุภาคีที่ใหญ่ที่สุดในระบบขององค์การสหประชาชาติ (UN) โดยประเทศต่าง ๆ จะเข้าร่วมการประชุม COP เพื่อร่วมกันเจรจาและกำหนดแนวทางในการจำกัดภาวะโลกร้อน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และสนับสนุนชุมชนที่เผชิญกับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศทั่วโลก

Final Greenpeace Press Conference at COP29 in Baku. © Marie Jacquemin / Greenpeace
แจสเปอร์ อินเวนเตอร์, มาร์ติน ไคเซอร์, เฟร็ด เอ็นเจฮู และคามิลา จาร์ดิม จากกรีนพีซร่วมการแถลงข่าวในการประชุม COP29 ที่เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2567 © Marie Jacquemin / Greenpeace

ภายในประชุม COP คุณจะพบกับผู้นำประเทศจากทั่วโลก ตัวแทนรัฐบาลเพื่อการเจรจา นักวิทยาศาสตร์ ผู้นำชนเผ่าพื้นเมืองชาติพันธุ์ นักกิจกรรมเยาวชน สื่อมวลชน และที่ขาดไม่ได้คือนักล็อบบี้ (Lobbyists)ตัวแทนบริษัทอุตสาหกรรมฟอสซิล แม้การประชุมมีความซับซ้อน ยุ่งเหยิง และบ่อยครั้งก็น่าหงุดหงิด แต่ก็ไม่มีเวทีระดับโลกใดอีกแล้วที่กลุ่มประเทศหมู่เกาะเล็กที่สุดกับกลุ่มประเทศเศรษฐกิจยักษ์ใหญ่ที่สุดของโลกจะมานั่งเจรจากันบนโต๊ะเดียวกันเพื่อหาข้อตกลงร่วมกันได้เช่นนี้

ให้ลองคิดว่าการประชุม COP เป็นเหมือนงานกลุ่มระดับโลก เช่นเดียวกับงานกลุ่มทั่วไป ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำงานส่วนของตน มีบางคนที่พยายามขัดขวางงาน แต่สุดท้ายเราก็ยังต้องการให้ทุกคนมีส่วนร่วม เพื่อให้ทั้งกลุ่มผ่านวิชานี้ไปด้วยกัน

2. ทำไมการประชุม COP ถึงสำคัญต่อการกำหนดทางออกระดับโลก

ผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ได้ถูกแบ่งกั้นด้วยพรมแดน ภัยแล้งในภูมิภาคหนึ่งอาจส่งผลให้ราคาอาหารทั่วโลกพุ่งสูงขึ้น ธารน้ำแข็งที่ละลายในเทือกเขาหิมาลัยอาจส่งผลต่อชุมชนที่อยู่ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร คลื่นความร้อนในเอเชียใต้คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมาก แม้ว่าผู้คนกลุ่มนี้จะมีส่วนก่อให้เกิดวิกฤตนี้เพียงเล็กน้อยก็ตาม

นี่คือเหตุผลที่เรามีการประชุม COP ซึ่งถือเป็นเวทีเดียวที่รัฐบาลจากทั่วโลกสามารถร่วมมือกัน อย่างน้อยก็ในทางทฤษฎี เพื่อแก้ไขปัญหาที่ไม่มีประเทศใดสามารถรับมือได้เพียงลำพัง คำว่า “พหุภาคีนิยม”  (multilateralism) หรือความร่วมมือระหว่างประเทศ อาจฟังดูเป็นคำศัพท์ทางการเมือง แท้จริงแล้วมีความหมายง่ายๆว่า การร่วมมือกันของนานาประเทศ และในการแก้ปัญหาประเด็นวิกฤตสภาพภูมิอากาศอันเป็นปัญหาระดับโลกนั้นย่อมต้องการทางออกระดับโลกด้วยเช่นกัน

หากปราศจากการประชุม COP ทางเลือกที่เหลือคือ แต่ละประเทศต้องหาทางเอาตัวรอดตามลำพังท่ามกลางภาวะฉุกเฉินของโลก และเราก็ได้เห็นแล้วว่านั่นเป็นทางเลือกที่อันตราย

3. ผลสำเร็จของการประชุม COP ที่ผ่านมามีอะไรบ้าง

COP27 Flood the COP Event in Egypt. © Marie Jacquemin / Greenpeace
กิจกรรม Flood the COP ระหว่างการประชุม COP27 ที่เมืองชาร์ม เอล ชีค ประเทศอียิปต์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2565 © Marie Jacquemin / Greenpeace

แม้จะมีอะไรหลายอย่างไม่เข้าที แต่ที่ผ่านมาการประชุม COP ถือว่าได้สร้างความกดดันทางการเมืองได้หลายประการ

  • COP21 (ปารีส ปี 2558): ความตกลงปารีส  หรือ  Paris Agreement  รัฐบาลทั่วโลกตกลงที่จะควบคุมภาวะโลกร้อนให้อุณหูภูมิเฉลี่ยของโลกไม่เพิ่มสูงเกิน 2°C อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม และมุ่งจำกัดไม่ให้เกิน 1.5°C ซึ่งอุณหภูมิเฉลี่ยนี้ถือเป็นขีดจำกัดสำคัญสำหรับระบบนิเวศของโลก แม้ไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ
  • COP27 (ชาร์ม เอล ชีค ปี 2565): มีการจัดตั้งกองทุนเยียวยาความสูญเสียและความเสียหาย  (Loss and Damage Fund) เพื่อช่วยเหลือประเทศที่เปราะบางซึ่งได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดจากภัยพิบัติทางสภาพภูมิอากาศ หลังจากที่นักเคลื่อนไหวทั่วโลกเรียกร้องเรื่องนี้มานานหลายทศวรรษ
  • COP28 (ดูไบ ปี 2566): เป็นครั้งแรกที่มีการระบุอย่างชัดเจนในมติของการประชุม COP ว่า เชื้อเพลิงฟอสซิล คือรากเหง้าของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เราขอยกให้เป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ และเรียกร้องว่า “ผู้นำระดับโลกต้องให้คำมั่นและเจตนารมณ์ต่อการยุติการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลอย่างเต็มรูปแบบ รวดเร็ว เป็นธรรม และสนับสนุนทางการเงินอย่างเพียงพอเพื่อการเปลี่ยนผ่านทางพลังงานอย่างเป็นธรรม”
  • COP29 (บากู ปี 2567): ประเด็นการเงินด้านสภาพภูมิอากาศกลายเป็นหัวข้อหลักของการประชุมครั้งนี้ รัฐบาลหลายประเทศให้คำมั่นเพิ่มการจัดสรรงบประมาณใหม่เพื่อการลงทุนเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน แต่กระนั้นเราได้ส่งเสียงวิพากษ์ว่าไม่เพียงพอต่อขนาดของวิกฤตที่เกิดขึ้น และยิ่งเปลี่ยนผ่านช้ายิ่งเท่ากับหายนะ

ชัยชนะเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากพลังและการผลักดันของภาคประชาชน ไม่ว่าจะเป็นจากจากผู้นำชนพื้นเมือง ประเทศที่เปราะบางต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ลุกขึ้นต่อสู้ นักรณรงค์ที่ไม่ยอมแพ้ และประชาชนผู้สนับสนุนอีกหลายล้านคนทั่วโลกที่ร่วมกันเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการลงมือทำอย่างแท้จริง

4. การประชุม COP: การปะทะของนักล็อบบี้และพลังประชาชน

หากพูดตามความเป็นจริง การประชุม COP มักถูกวิจารณ์ว่าเป็นเพียงเวทีพูดคุยที่ตัวแทนกลุ่มล็อบบี้ภาคธุรกิจมีจำนวนมากกว่าประเทศที่เปราะบางต่อวิกฤตภูมิอากาศเสียอีก โดยในการประชุม COP28 ตัวแทนจากอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลมีจำนวนมากกว่าผู้แทนจากแทบทุกประเทศรวมกัน ขณะที่บริษัทอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์และนมก็เข้าร่วมเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมของตนเช่นกัน

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมภาคประชาสังคม ชนพื้นเมือง เยาวชน และนักเคลื่อนไหวต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในเวทีเหล่านี้ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลมีภาระรับผิด เพื่อท้าทายการฟอกเขียว และเป็นปากเสียงแทนกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบที่มักถูกเพิกเฉย

People's Plenary at COP29 in Baku. © Marie Jacquemin / Greenpeace
นักกิจกรรมยกมือแสดงพลังแห่งความเป็นหนึ่งเดียว ในประชุมสมัชชาประชาชน (People’s Plenary) ระหว่างการประชุม COP29 ที่เมืองบากู ประเทศอาเซอร์ไบจาน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2567 © Marie Jacquemin / Greenpeace

กรีนพีซไม่ได้เข้าร่วมประชุม COP เพียงเพราะเราเชื่อว่าสักวันหนึ่งนักการเมืองจะหันมาปกป้องประชาชน แต่เราไปร่วมประชุมเพราะว่า หากไม่มีแรงกดดันอย่างไม่หยุดยั้งของภาคประชาชน ทางออกที่เป็นธรรมก็ไม่มีทางเกิดขึ้น และด้วยพลังประชาชนนี่เองที่ทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้จริง

5. ข้อเท็จจริงจากการประชุม COP ที่แสดงให้เห็นว่าการประชุมนี้สำคัญ

มีสถิติหนึ่งที่น่าตกใจ ตามรายงานขององค์การสหประชาชาติ (UN) คำมั่นด้านสภาพภูมิอากาศของแต่ละประเทศในปัจจุบันยังคงทำให้โลกมีแนวโน้มอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้นถึง 3.1 องศาเซลเซียสภายในศตวรรษนี้ ในการบรรลุเป้าหมายให้การรักษาให้อุณหภูมิโลกไม่เพิ่มสูงเกินขีดจำกัด 1.5 องศาเซลเซียส ประเทศต่าง ๆ จำเป็นต้องดำเนินการตามคำมั่นที่ให้ไว้ให้ครบถ้วนและยกระดับให้เข้มงวดขึ้น โดยต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงประมาณร้อยละ 43 ภายในปี 2030 (พ.ศ.2573) เมื่อเทียบกับระดับปี 2562 และลดลงมากยิ่งกว่านั้นภายในปี 2035 (พ.ศ.2578)

ตัวเลขนี้จะหมายถึงเส้นแบ่งระหว่างการล่มสลายของระบบนิเวศในวงกว้าง กับ โอกาสในการปกป้องเสถียรภาพของภูมิอากาศโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทำไมการประชุม COP จึงยังคงมีความจำเป็น เพราะการตัดสินใจในเวทีเหล่านี้สามารถเพิ่มหรือลดมลพิษคาร์บอนในชั้นบรรยากาศได้ในระดับกิกะตัน ตัวเลขนี้ส่งผลต่อชีวิตของผู้คนนับล้าน ป่าไม้ ความหลากหลายทางชีวภาพ และอนาคตของคนรุ่นหลัง

ทำไมการประชุม COP30 จึงสำคัญ

การประชุม COP ในปีนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ 30 จัดขึ้นที่เมืองเบเล็ม ประเทศบราซิล อันเป็นประตูสู่ผืนป่าแอมะซอน เกริ่นเพียงแค่นี้ก็ทำให้การประชุมครั้งนี้มีความสำคัญมากเป็นพิเศษแล้ว ผืนป่าแอมะซอนเป็นบ้านของความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นบ้านของผู้คนนับล้าน รวมถึงชุมชนชนพื้นเมืองจำนวนมาก นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งในแหล่งดูดซับคาร์บอนที่สำคัญที่สุดของโลกปริมาณหลายพันล้านตันต่อปี ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าป่าแอมะซอนกำลังเข้าใกล้จุดพลิกผัน กับการที่ป่าเริ่มปล่อยคาร์บอนมากกว่าศักยภาพที่ดูดซับได้ อันเป็นผลมาจากการถูกคุกคาม

การประชุม COP30 ยังเป็นหมุดหมายสำคัญ เนื่องจากเป็นวาระครบรอบ 10 ปีของความตกลงปารีส ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับประเมินความคืบหน้า รัฐบาลทั่วโลกได้รับการคาดหวังว่าจะนำเสนอคำมั่นด้านสภาพภูมิอากาศที่หนักแน่นชัดเจนยิ่งขึ้นให้สอดคล้องกับเป้าหมายขีดจำกัดอุณหภูมิเฉลี่ยไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส ขีดอันตรายที่นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าไม่ควรให้ถึง พูดง่าย ๆ ก็คือ ปีนี้ผู้นำโลกจะต้องรับความท้าทายที่ความตกลงปารีสได้กำหนดไว้เมื่อ 10 ปีที่แล้ว

Banner Calling to Action on 1.5 degrees inside Bonn. © Marie Jacquemin / Greenpeace
กรีนพีซกางป้ายผ้าเรียกร้องภายในสถานที่จัดการประชุมด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ Bonn Climate Change Conference 2025 โดยองค์การสหประชาชาติ ที่เมืองบอนน์ เรียกร้องให้มีการลงมือที่เข้มข้นยิ่งขึ้นเพื่อรักษาขีดจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส © Marie Jacquemin / Greenpeace

COP30 จึงเป็นการประชุมที่สำคัญมาก เป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลทั่วโลกต้องแสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญ ที่จะต้องอยู่เหนือความล้มเหลว ก้าวข้ามจากการเจรจาด้วยคำพูดไปสู่การลงมือปฏิบัติจริง

แม้เราจะไม่ไว้วางใจในการประชุม COP ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่ความหวังยังคงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่ผู้นำระดับโลกเท่านั้นที่สร้างการเปลี่ยนแปลง หากแต่เกิดขึ้นจากผู้คนทั่วโลกที่ลุกขึ้นลงมือทำ ไม่ว่าจะเป็นการเดินขบวนเรียกร้อง การใช้สิทธิเลือกตั้ง การฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ การปกป้องผืนป่า การบอกเล่าเรื่องราวของตน หรือการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม


บทความนี้แปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษ อ่านบทความต้นฉบับ