“แม้แต่ สส.ยังโดนบริษัทฟ้องหมิ่นประมาท แล้วคนธรรมดาล่ะ?” ช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ข่าวน่าตกใจสำหรับนักกิจกรรมทางสิ่งแวดล้อม คือ ข่าวกรณี สส.พรรคประชาชนและหัวหน้าพรรค 3 คน ถูกฟ้องหมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหายรวม 300 ล้านบาท เนื่องจากกล่าวถึงบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งที่อาจได้รับผลประโยชน์จากกรณีรัฐบาลรับซื้อไฟฟ้าไม่เปิดประมูล ส่งผลให้ค่าไฟไม่เป็นธรรมกับประชาชน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้ที่ออกมาพูดถูก “ฟ้องปิดปาก” 

ในประเทศไทย สถานการณ์การฟ้องปิดปากทวีความรุนแรงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556 เป็นต้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมพลังงาน ซึ่งมักเป็นโจทย์ในคดีที่เข้าข่ายการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะหรือที่รู้จักกันในชื่อ “คดีฟ้องปิดปาก” (Strategic Lawsuits Against Public Participation: SLAPPs) การฟ้องคดีในลักษณะนี้ไม่ใช่การแสวงหาความยุติธรรมตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย แต่เป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือในการคุกคามและข่มขู่ฝ่ายตรงข้าม ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรป (European Court of Human Rights) ได้ให้คำนิยามการฟ้องคดีปิดปากว่าเป็น “การดำเนินคดีที่ไม่มีมูลตามกฎหมายโดยผู้มีอิทธิพลหรือบริษัทที่มีอำนาจ เพื่อข่มขู่นักข่าว [และบุคคลอื่น ๆ] ให้ยุติการสืบสวน… โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้จำเลยเสียเวลาและทรัพยากร” การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการบิดเบือนกระบวนการยุติธรรมเพื่อระงับการมีส่วนร่วมของประชาชนในประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

การใช้กฎหมายหมิ่นประมาททางอาญาที่พุ่งเป้าไปต่อบุคคลสาธารณะหลากหลายกลุ่มอย่างเป็นระบบ ตั้งแต่นักการเมือง นักวิชาการ นักปกป้องสิทธิด้านสิ่งแวดล้อม สื่อมวลชน ตลอดจนบุคคลธรรมดาอื่น ๆ  การกระทำดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงรูปแบบการใช้กฎหมายเพื่อสร้างภาระและกดดันผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การดำเนินงานของบริษัทหรือนโยบายของรัฐที่เกี่ยวข้อง

การฟ้องหมิ่นประมาทโดยบริษัทเช่นนี้เป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อลดการตรวจสอบ จำกัดการพูดหรือการแสดงออกของนักกิจกรรมหรือนักเคลื่อนไหวและทำให้เกิด “สภาวะชะงักงัน” (Chilling Effect) สฤณี อาชวานันทกุล นักวิชาการ หนึ่งในผู้ที่เคยถูกฟ้องหมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหายจำนวน 100 ล้านบาทโดยบริษัทพลังงานได้กล่าวถึงการฟ้อง SLAPP ว่าเป็นกระบวนการทางกฎหมายที่ “ทำให้สังคมเกิดภาวะชะงักงันในการแสดงความคิดเห็นต่อกลุ่มทุนผูกขาด ที่ไม่ได้ต้องการชัยชนะ แต่เป็นเพียงการข่มขู่ กลั่นแกล้ง และปิดปาก” 

สิทธิในการปกป้องสิ่งแวดล้อม กับระบบยุติธรรมที่ไม่ยุติธรรม

กระบวนการยุติธรรมที่ควรจะมอบความยุติธรรมให้กับคนที่ถูกคุกคาม กลับถูกนำมาใช้โดยกลุ่มอำนาจทุนเพื่อคุกคามคนที่ต้องการปกป้องสิ่งแวดล้อม เช่นนั้นแล้ว สำหรับผู้ที่ต่อสู้เพื่อสิทธิทางสิ่งแวดล้อม เรายังมีสิทธิพูดอะไรไหม? 

กรีนพีซ ประเทศไทย หยิบยกประเด็นเสรีภาพที่ถูกปิดกั้นนี้มาชวนทุกคนร่วมหาคำตอบเมื่อ 4 ตุลาคม 2568 ผ่านเวทีสนทนาในประเด็น ‘SLAPP กับความยุติธรรมที่หายไป (Voices on Trial: Defending the Right to Defend)’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน Bangkok Climate Action Week (BKKCAW) ที่กรีนพีซต้องการสะท้อนให้เห็นถึง โลกร้อนไม่เท่าเทียม กระทบคนไม่เท่ากัน ขณะที่ 1% ก่อ 99% เจ็บ โดยที่ 1% ของกลุ่มผู้มีอำนาจนั้น สามารถใช้อำนาจที่มิชอบผ่านกระบวนการยุติธรรมทางกฎหมายมาสร้างความชอบธรรมในการริดรอนสิทธิของประชาชน 99% ได้ แม้จะอ้างว่าใช้สิทธิอันชอบธรรมทางกฎหมายแต่ในมุมของนักปกป้องสิ่งแวดล้อมคือความไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังทำให้พื้นที่การใช้สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการส่งเสียงของประชาชนหดตัวลง 

บริษัทอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ผู้ก่อวิกฤตโลกเดือดจึงไม่ได้แค่ก่อผลกระทบจากหายนะทางสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงเท่านั้น แต่ยังใช้กฎหมายเตะถ่วงดุลเวลาในการรับผิดชอบต่อหายนะทางสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อีกทั้งยังสร้างภัยพิบัติให้ประชนรับ ขณะที่ตนนั้นกอบโกยผลกำไร และใช้อำนาจปิดปาก คุกคามสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกของคนที่ออกมาเรียกร้องเพื่อปกป้องผลประโยชน์สาธารณะ ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในทุกมิติ ทั้งสิทธิพลเมือง การเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิทธิในการพัฒนาได้ออกมาแสดงความกังวลต่ออุตสาหกรรมฟอสซิลยักใหญ่ที่มีความพยายามอย่างเป็นระบบในการปิดบังข้อมูลสำคัญจากสาธารณะ ทั้งในรูปแบบการครอบงำพื้นที่ทางนโยบายสาธารณะ และการโจมตีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณะ

ภาพยนตร์ “SLAPP เมื่อสิทธิในการปกป้องสิ่งแวดล้อม ตกเป็นเป้าหมาย (Voices Under Attack: SLAPP and the Fight to Protect the Environment)” จัดทำโดย กรีนพีซ ประเทศไทย และมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน  ซึ่งกำกับภาพยนต์โดยภาณุทัศน์ เกตุเจริญ ผู้กำกับสารคดี สำนักข่าวไทยรัฐออนไลน์ ได้บอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มคนผู้ที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ แต่กลับถูกฟ้องปิดปากโดยกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานและภาครัฐในไทย พวกเขาเป็นเพียงประชาชนธรรมดา ที่ลุกขึ้นมาคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา บนพื้นที่อันเป็นแหล่งทำมาหากิน บ้าน และวิถีชีวิตของพวกเขาเอง พวกเขาต้องการเรียกร้องเพื่อสิทธิในการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี และปลอดภัย แต่กลับถูกปิดกั้นทุกวิถีทาง ถูกจับเข้าเรือนจำเนื่องจากออกมาใช้สิทธิในการชุมนุมประท้วงผ่านการเดินเท้ายื่นหนังสือร้องเรียนถึงอดีตนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทรโอชา อีกด้านหนึ่งคือสมาชิกผู้แทนราษฎรผู้มีหน้าที่โดยตรงในทางนิติบัญญัติ และควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงการตั้งกระทู้ถามถึงการทำงานของฝ่ายรัฐบาล แต่กลับถูกดำเนินคดีจากการอภิปรายในพื้นที่รัฐสภา ท่ามกลางสิทธิและเสียงที่ถูกบีบให้เงียบหากต่อต้าน ประชาชนยังเหลืออะไรเพื่อคุ้มครองตนเองจากการกดทับของอำนาจรัฐและบรรษัทอีกหรือไม่

“ขนาดสส.ยังถูกดำเนินคดีได้ แน่นอนมันทำให้เกิดบรรยากาศที่หลายคนรู้สึกว่า เราไม่ได้มีเสรีภาพอย่างที่เราคิดว่าเรามี” รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน กล่าวในสารคดี จากการถูกฟ้องปิดปากซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากกลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานและอีกหลายกรณีในการเปิดโปงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

นักปกป้องสิทธิทางด้านสิ่งแวดล้อมจากเทพา และจะนะจำนวนอย่างน้อย 16 คน ถูกฟ้องปิดปากโดยภาครัฐใน 3 ข้อหาเช่นความผิดตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ความผิดต่อเจ้าพนักงาน เป็นต้น ที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือควบคุม จำกัด และปราบปรามสิทธิในการชุมนุมโดยสงบอย่างต่อเนื่องหลังการรัฐประหาร พ.ศ. 2557  การถูกจับกุมคุมขังจากการเดินขบวนเรียกร้องหยุดโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาผ่านการแสดงออกตามสิทธิในการชุมนุมประท้วงอย่างสงบ “เหมือนกับผมเนี่ยเป็นโจรฆ่าร้อยศพ” รุ่งเรือง ระหมันยะ กล่าวต่อการที่ทั้ง 16 คนถูกใส่กุญแจมือและมีโซ่ตรวนคล้องต่อกัน นี่คือ เสรีภาพ ทรัพย์สิน และชีวิต ที่คนธรรมดาที่ลุกขึ้นมาปกป้องสิ่งแวดล้อมต้องยอมแลกเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ ถึงกระนั้นก็ตามรุ่งเรืองกลับบอกว่า “ถึงแม้ว่าผมจะต้องเข้าคุกอีกครั้ง แล้วทำให้ชุมชนนั้นรอด ผมยินดีเข้า” นี่คือความกล้าหาญของรุ่งเรืองที่มุ่งมั่นอุทิศตนเพื่อปกป้องชุมชนและสิ่งแวดล้อม ทว่าจิตวิญญาณของนักปกป้องสิทธิสิ่งแวดล้อมเหล่านี้จะถูกทำลายลงไปไหมหลังจากการถูกฟ้องปิดปากและการถูกกุมขัง ในยามที่ระบบความยุติธรรมของประเทศเรายังคลุมเคลือ 

ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความ ผู้ประสานงานบริหารมูลนิธิศูนย์ข้อมูลชุมชน เธอให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายกับชุมชนในด้านสิทธิชุมชนและสิทธิสิ่งแวดล้อมมายาวนาน กล่าวในวงสนทนาหลังภาพยนตร์ถึงกรณีความไม่เป็นธรรมของการฟ้องปิดปากกลุ่มคนที่ออกมาสู้เพื่อผลประโยชน์สาธารณะ ว่า “SLAPP เป็นคำที่เพิ่งมีมาไม่นานเท่าไร เดิมเราเรียกว่าการใช้กระบวนการนิติธรรมมาคุกคาม (Judicial harassment) คือการที่เอกชนใช้กฎหมายมาคุกคามต่อคนที่ไม่ควรถูกคุกคาม เช่น เหยื่อ ชุมชน และกลุ่มเอ็นจีโอ ด้วยกฎหมายอาญาหรือการจับกุมคุมขัง แต่ต่อมามีการใช้กฎหมายทั้งโดยรัฐและเอกชนเพื่อฟ้องหมิ่นประมาท หรือการใช้กฎหมายรูปแบบอื่นนอกเหนือจากการฟ้องหมิ่นประมาท เช่น กรณีการเดินขบวนเพื่อยื่นจดหมายคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา มีการใช้ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ มาจัดการคนให้กลัวและไม่กล้าเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจเรื่องผลประโยชน์สาธารณะ” ส.รัตนมณี อธิบายว่าการปิดปากนั้นไม่ได้หมายความเฉพาะการแสดงความคิดเห็นหรือการพูดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก เช่น การประท้วง การยื่นหนังสือ หรือการเข้าร่วมเวทีรับฟังความคิดเห็น 

“เนื่องจากฝ่ายที่ใช้ SLAPP คือฝ่ายที่มีอำนาจ กำลัง และทรัพย์สินมากกว่า จึงหมายความว่าภาคธุรกิจมีกำลังและศักยภาพในการใช้จ้างทนายเพื่อดำเนินคดี และต้องการใช้กฎหมายเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของตนเอง แต่คนโดนฟ้องคือคนตัวเล็กตัวน้อย คือคนที่ต้องเสียเวลา ค่าใช้จ่าย และกำลังใจในการทำงาน เพื่อมาสู้คดี” ส.รัตนมณี กล่าว

เมื่อเอ่ยถามถึงแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ระยะที่ 2 (พ.ศ.2566 – 2570) ว่าพอจะเป็นแนวทางที่ชี้นำให้บริษัทอุตสาหกรรมดำเนินงานโดยคำนึงถึงหลักสิทธิมนุษยชนอย่างจริงจังได้หรือไม่ ส.รัตนมณี ให้คำตอบว่า “แม้จะมีแผนธุรกิจและสิทธิมนุษชน แต่การฟ้องปิดปากก็มีมากขึ้นเรื่อย ๆ อันนี้เป็นความย้อนแย้งที่ชัดเจน และยังสะท้อนถึงปัญหาในมุมมองและหลักการเคารพในสิทธิของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นต่อธุรกิจของคุณ อันที่จริงแล้วภาครัฐมีหน้าที่ต้องปกป้องประชาชน แต่รัฐก็ใช้กฎหมายมาทำร้ายประชาชน” และ ส.รัตนมณี มองว่า การที่ฟ้องเพื่อปิดปากทุกคน ตั้งแต่เหยื่อของโครงการรัฐ นักกิจกรรม นักปฎิบัติการทางสังคม และแม้กระทั่งสภาผู้แทนราษฎร ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ นี่คือปัญหา 

“คนที่เข้ามีบทบาททางการเมืองมันแทบจะแยกไม่ออกระหว่างการปกป้องผลประโยชน์สาธารณะกับการสนับสนุนผลประโยชน์ของกลุ่มทุน (การที่สส.ถูกฟ้อง) ทำให้การทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลยากขึ้นแน่นอน เรื่องบางเรื่องที่คุณตรวจสอบคุณอาจจะล้มละลายนะ คุณอาจจะติดคุกนะ แล้วต่อไปนี้จะมีใครกล้าตรวจสอบล่ะ” สส.รังสิมันต์ โรม กล่าวถึงอิทธิพลของกลุ่มทุนต่อการเมืองในสารคดี

นิติสงครามที่ทำให้เราอยู่ในความกลัว—เราอยู่ในยุคอะไรกันแน่

“ผมเพิ่งถูกฟ้อง” ศุภโชติ ไชยสัจ สส.พรรคประชาชน หนึ่งในผู้ร่วมเสวนา กล่าวถึงการถูกฟ้องคดีโดยอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานที่กำลังเผชิญอยู่ “ผมกังวลเรื่องความเสี่ยงต่อการพูดในสภา หลังจากที่โดนฟ้องร้องค่าเสียหาย 100 ล้านบาท ไหนว่า สส.มีเอกสิทธิ์คุ้มครองในความเป็นจริงสิ่งที่เราคิดกับสิ่งที่เป็นไม่สอดคล้องกัน ที่จริงสภาควรเป็นเวทีที่ปลอดภัยต่อประชาชน และสส.ควรมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นและตั้งคำถาม ระเบียบในสภาควรครอบคลุมเอกสิทธิ์อันนี้ แต่กลับตั้งคำถามได้เฉพาะต่อบุคคลในสภาเท่านั้นไม่รวมถึงคนภายนอกที่ได้ผลประโยชน์ในการทำงานของรัฐ แม้ว่าเราจะพูดถึงสิ่งไม่ปกติในการทำงานภาครัฐและเป็นการพูดเพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะก็ตาม” ถ้อยแถลงของสส. ศุภโชติ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจแพรทองธารที่เกี่ยวโยงกับผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมที่ได้ผลประโยชน์จากค่าไฟแพง กรณีรัฐบาลรับซื้อไฟฟ้าไม่เปิดประมูล ซึ่งเป็นประเด็นที่ประชาชนในประเทศกำลังเสียผลประโยชน์ และต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างไม่สมควร “ผมไม่มั่นใจว่าคดีของผมจะจบลงอย่างไร เพราะเพิ่งผ่านการไต่สวนครั้งแรก” สส.ศุภโชติ กล่าว

มนูญ วงษ์มะเซาะห์ กรีนพีซ ประเทศไทย ตั้งข้อสังเกตว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นกับสส.และหัวหน้าพรรคทำให้เกิดความกลัวขึ้นในสังคม และแพร่ขยายเป็นวงกว้างว่า ควรหรือเปล่าที่จะออกมาตั้งคำถามกับอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ ขนาด สส.ที่มีเอกสิทธิ์คุ้มครองยังโดน ความกลัวนี้จะทำให้คนอื่นไม่กล้าพูด และปล่อยให้กลไกไม่ปกติดำเนินต่อไปหรือไม่” 

พวกเรากำลังอยู่ในยุคที่จะพูดอะไรไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ?

จากการทำวิจัยในรายงานของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (United Nations Development Programme: UNDP) ศึกษาของการฟ้อง SLAPP จากภาคเอกชนหรือรัฐวิสาหกิจ พบว่ามีราว 120 คดี “คดีมันสูงเพราะว่าจากสถิติ หนึ่งบริษัทฟ้องมาก 6-7 คดี บางบริษัทฟ้องเป็น 10 คดี” เสาวณีย์ แก้วจุลกาญจน์ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย และคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) ให้ข้อมูลไว้ในสารคดี “นี่ไม่ใช่แฟร์เกม แฟร์เกมต้องไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทในอาญา”

แม้จะมีความพยายามผลักดันจากทั้งภาคประชาชน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคก้าวไกลตั้งแต่ปี 2564 ให้มีกฎหมายกรอบการป้องกัน SLAPP หรือ Anti-SLAPP Law ภายใต้มาตรา 161/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กำหนดให้อนุญาตให้ศาลยกฟ้องคดีหากความปรากฏต่อศาลว่าโจทก์ฟ้องคดีโดยไม่สุจริตหรือโดยบิดเบือนข้อเท็จจริงเพื่อกลั่นแกล้งหรือเอาเปรียบ จำเลยหรือโดยมุ่งหวังผลอย่างอื่นยิ่งกว่าประโยชน์ที่พึงได้โดยชอบ เพื่อจะแก้ไขปัญหาการฟ้องคดีปิดปากที่เกิดขึ้นด้วยจุดประสงค์เพื่อปิดกั้นการแสดงความคิดเห็น แต่ยังต้องใช้เวลาผลักดันร่างกฎหมายในสภาอีกนาน เพราะถือว่าอยู่แค่ขั้นต้น 

สส.ศุภโชติ กล่าวว่า “ขณะนี้พรรคประชาชนกำลังร่างกฎหมาย Anti-SLAPP นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นภูมิคุ้มกัน และกำหนดนิยามใหม่ของการพูดเพื่อประโยชน์สาธารณะ ด้วยการดึงคดี                                                                                                                                  อาญาออกจากคดีหมิ่นประมาท เราต้องการความสนใจจากทุกฝ่ายเพื่อให้กฎหมายนี้ผ่านไปได้ และเป็นบรรทัดฐานใหม่ของสังคม นี่จะเป็น กฎหมายที่ป้องกันคนที่ลุกขึ้นมาปกป้องประโยชน์ของประเทศและสาธารณะ”

ส.รัตนมณี ให้ความเห็นว่า “ศาลยุติธรรมได้แก้ร่างกฎหมายนี้มา กำหนดว่าถ้าเอกชนฟ้องคดีอาญา ให้ศาลมีวินิจฉัยไม่รับฟ้องได้ แต่ถ้าจำเลยเห็นว่าจำเป็นต้องเรียกจำเลยมาเพื่อไต่สวนมูลฟ้อง ก็สามารถเรียกได้ เพื่อพิสูจน์ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ไหน แต่ไม่ได้พิสูจน์เพื่อยกฟ้อง ดังนั้นศาลจะรับฟ้องทุกครั้งที่มีการยื่นหลักฐาน เช่น โพสต์ต่าง ๆ ไม่มีครั้งใดเลยที่ศาลจะวินิจฉัยว่าไม่รับฟ้อง เราต้องมาคิดกันใหม่ว่ามีกฎหมายอะไรบ้างที่เกี่ยวข้องและมีปัญหา เช่น กฎหมายการหมิ่นประมาทอาญาระบุไว้ว่าโจทย์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายเท่าไรก็ได้ แต่การหมิ่นประมาทด้วยคำพูดนั้นควรจะเป็นแค่คดีแพ่ง ไม่ใช่อาญาที่ต้องวางเงินหลักประกันตัว”

หรือผู้มีอำนาจใช้กฎหมายในยุคนี้จะเป็นเหมือนสิ่งที่ส.รัตนมณี พูดไว้ในสารคดี “เราเป็นเหมือนซอมบี้ ใช้แค่กฎหมาย ไม่ได้ใช้จินตนาการ”

เราจะทำอย่างไรให้สังคมตระหนักถึงปัญหาคดี SLAPP 

นี่คือโจทย์สำคัญของ ภาณุทัศน์ เกตุเจริญ ผู้กำกับภาพยนตร์สารคดี SLAPP เรื่องนี้กับเป้าหมายในการถ่ายทอดประเด็นปัญหาการริดรอนสิทธิเสรีภาพอันเป็นผลมาจากการฟ้องปิดปากประชาชน ภาณุทัศน์ กล่าวว่า “ความยากคือจะทำอย่างไรให้คนที่ไม่ได้อยู่ที่เทพา จังหวัดสงขลา เชื่อมโยงและเข้าใจปัญหาการฟ้องปิดปาก สิ่งที่เราทำได้คือการบันทึกผ่านภาพยนตร์ เราได้เห็นว่าการเป็นนักปกป้องสิทธิสิ่งแวดล้อมต้องต่อสู้กับอะไรบ้าง ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนวันดีคืนดีก็สามารถมีโรงงานมาตั้งได้ เช่น โรงงานเผาขยะอิเล็กทรอนิกส์ โรงไฟฟ้า โครงการอุตสาหกรรม ทั้งหมดนี้เป็นอำนาจเดียวกัน” 

ในมุมมองของภาณุทัศน์ “SLAPP คือ อำนาจที่ไม่เท่ากันของคนตัวเล็กและบริษัทยักษ์ใหญ่ การคุกคามรูปแบบนี้อยู่ในวัฒนธรรมของเรามานานแล้วก่อนที่เราจะรู้จักคำนี้ สังคมคงชินชาไปแล้วกับการที่คนนั้นคนนี้โดนฟ้อง สส.โดน นักข่าวโดน ชาวบ้านโดน พรุ่งนี้ก็คงอาจจะมีคดีเช่นนี้อีก”  

ภาณุทัศน์มองว่า นี่คือความยุติธรรมที่หายไป ซึ่งถึงแม้ผู้ที่ไม่โดนฟ้องก็ยังรู้สึกถึงการปะทะทางอำนาจต่อบทบาทของสื่อ “สำหรับสื่อแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ ภาวะชะงักงัน chilling effect เป็นภาวะที่ลอยตัวอยู่ในบรรยากาศกับคนรอบข้างเรา การที่เราจะทำประเด็นอะไรจะมีสิ่งที่เราต้องคำนึงถึงเสมอ ต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง เรารับรู้ถึงความเป็นเนื้อเดียวกันของอำนาจรัฐและกลุ่มทุน ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นต้องฟ้องร้องก็ได้ บางครั้งการที่ทุนใหญ่เป็นสปอนเซอร์หลักก็ทำให้สื่อพูดอะไรบางอย่างไม่ได้ก็มี การที่เราทำงานสื่อเราจะเห็นสิ่งเหล่านี้ตลอด มีราคาที่ต้องจ่ายมากขึ้น”

“คือเรารู้ว่ามันมีตอ แต่พอเราค้นไปเจอตอ ปัญหาคือคุณจะปิดตาข้างเดียวหรือเปล่า แค่นั้นแหละ” ธนาพล อิ๋วสกุล บรรณาธิการบริหารสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน กล่าวในสารคดี

“สังคมต้องไม่ยอมปล่อยให้คนที่ถูกฟ้องต่อสู้อย่างเดียวดาย”

นี่คือคำกล่าวของ ส.รัตนมณี ที่บอกย้ำว่า “การไม่พูดทำให้เวทีเสรีภาพและประชาธิปไตยหดตัวลงไปเรื่อย ๆ โดยที่คนที่ออกมาพูดนั้นไม่ได้ใช้คำหยาบคายไปด่าทอใคร แต่เป็นการบอกว่ามีนโยบายที่รัฐเอื้อทุน หรือทุนเอื้อรัฐ ในเมื่อกฎหมายออกยาก ดังนั้น สังคมต้องช่วยกันยืนหยัดในหลักการของสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก รวมถึงต้องไถ่ถามไปยังกระบวนการยุติธรรม และทนายความที่ช่วยเหลือฟ้องคดี ว่าเราจะปล่อยให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นวัฒนธรรมต่อไปเพื่อให้คนที่ออกมาส่งเสียงต้องถูกฟ้องเงียบเสียงลงหรือไม่ ขณะที่กฎหมายยังไปไม่ถึง” ในฐานะทนายด้วยกัน ส.รัตนมณี จึงฝากข้อความไปถึงคนในกระบวนการกฎหมายว่า “ถ้าคนเข้าใจเรื่องนี้ ควรจะยุติเรื่องนี้ตั้งแต่ต้น เพื่อไม่ให้ผู้เสียหายต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่าย”

“คดีจะไม่เกิดขึ้นถ้าไม่มีทนาย ดังนั้นจึงขอเรียกร้องว่า ถ้ามีใครมาปรึกษาในการฟ้องร้องหมิ่นประมาทอาญาจะถือเป็นเครื่องมือที่ใช้ปิดปากประชาชน และถ้าหมิ่นประมาททางแพ่ง อาจเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน ทนายไม่ควรรับคดีเหล่านี้ รวมถึงตำรวจ และอัยการต้องไม่รับฟ้องคดีเหล่านี้ รวมถึงศาลจะต้องปัดตกตั้งแต่แรกโดยไม่ปล่อยให้มีการใต่สวนมูลฟ้องที่ใช้เวลาหลายปี ทุกคนต้องร่วมกันกีดกันคดี SLAPP ไม่ให้เข้าถึงศาล คนในกระบวนการยุติธรรมต้องเข้าใจและร่วมกันช่วยเรื่องนี้” ส.รัตนมณี กล่าว

“ต้องยอมรับว่าพื้นที่ในการพูด แม้แต่ในสภาก็หดเล็กลงเรื่อย ๆ เรายิ่งพูดเรายิ่งโดน เช่น เรื่องสแกมเมอร์ที่คุณโรมเพิ่งพูดเปิดโปงในสภา เพียงไม่กี่วันก็เห็นถึงการขู่ฟ้องร้องหมิ่นประมาทในหน้าข่าว พื้นที่สภาควรเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัยสำหรับทุกคนในการตั้งคำถามแม้จะเป็นเรื่องหล่อแหลม สภาควรเป็นพื้นที่แรกที่สามารถพูดคุยเรื่องนี้ได้อย่างเปิดเผย ไม่ใช่เพื่อการใส่ร้าย แต่เป็นการตั้งคำถามเพื่อรักษาผลประโยชน์สาธารณะ” สส.ศุภโชติ กล่าว “ยิ่ง สส.ถูกปิดปากในสภาเท่าไร จะยิ่งสะท้อนถึงความเป็นประชาธิปไตยที่น้อยลง จะทำอย่างไรให้ สส. พูดแทนประชาชนได้ทุกเรื่อง ครอบคลุมถึงบุคคลที่สามที่ไม่ได้อยู่ในสภาได้ หากเป็นไปเพื่อประโยชน์สาธารณะ”

ส.รัตนมณี ระบุถึงผลของคดีฟ้องปิดปากว่า สุดท้ายแล้วศาลพิพากษาให้ยกฟ้องคดีทั้งหมด กล่าวคือ คนถูกฟ้องทุกคนได้รับชัยชนะในปลายทาง โดย ส.รัตนมณี เล่าย้อนถึงกรณีที่ศาลยกฟ้องตั้งแต่คดีแรก คือ กรณีที่ศาลยกฟ้องกลุ่มผู้คัดค้านเหมืองแร่ทองคำ จ.เลย จากการทำป้าย “หมู่บ้านนี้ไม่เอาเหมือง และ ปิดเหมืองฟื้นฟู” เนื่องจากเป็นการใช้สิทธิในการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริตตามสิทธิขั้นพื้นฐานตามระบอบประชาธิปไตย และได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ส.รัตนมณี เผยว่า “ตอนนั้นผู้เคลื่อนไหวโดนฟ้องเรียกค่าเสียหายประมาณคนละอย่างน้อย 50 ล้าน ไปจนถึงสูงสุด 150  ล้านบาท เราสู้จนศาลพิพากษายกฟ้อง และเราฟ้องกลับแล้วชนะ ศาลเขียนไว้ว่า การฟ้องคดีแรกของกลุ่มนายทุนเหมืองแร่เป็นการใช้กระบวนการยุติธรรมมาเพื่อลอยนวลพ้นผิด รวมทั้งนำมาคุกคามชาวบ้าน และพิพากษาให้จ่ายค่าเสียหาย แต่การโต้กลับนั้นใช้เวลาและพลัง ทำให้บริษัทที่หากถูกฟ้องก็คงไม่ได้รู้สึกอะไรเพราะเป็นเงินจำนวนเล็กน้อย แต่สังคมจะเห็นว่าบริษัทควรถูกลงโทษ ดังนั้นต้องมองกลับไปว่า การฟ้องคุกคามผู้อื่นมีสิทธิที่จะถูกโต้กลับได้เช่นกัน เรามองว่าการยุติหรือทำให้คดีฟ้องปิดปากลดน้อยลงได้ต้องมีการโต้กลับ คือ ทำให้เห็นว่าคนที่มาฟ้องคดีก็ต้องสูญเสียอะไรบ้าง” 

ภาณุทัศน์ เสริมในทางเดียวกัน ว่าทางออกหนึ่งเพื่อเสรีภาพในการพูดคือ “ต้องปลดแอกสื่ออกจากกลุ่มทุนและอำนาจรัฐเพื่ออิสระในการพูด รวมถึงปลดแอกด้วยกันทุกภาคส่วน ทั้งนักข่าว ทนาย ชาวบ้าน สส. ตำรวจ อัยการศาล และทุกคน” ซึ่งสอดคล้องเช่นกันกับสิ่งที่ สส.ศุภโชติ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ทุกคนในสังคมควรจะตั้งคำถามได้  และมีสิทธิในการเสนอแนะทางออกในแบบที่ต่างไปจากเดิมได้อย่างเสรี” 

มนูญ วงษ์มะเซาะห์ กรีนพีซ ประเทศไทย ปิดวงสนทนาด้วยข้อสังเกตของกลยุทธ์ถ่วงเวลา: ตำราลับที่ต้องไม่ถูกยอมรับของอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ ตลอด 60 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ได้วางรากฐานของ “แผนสกัดกั้น” หรือ playbook of climate obstruction ซึ่งมียุทธศาสตร์ที่ซับซ้อนและต่อเนื่องในการบิดเบือนข้อมูล ปกปิดความจริง ขัดขวางการดำเนินนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ และใช้กฎหมายไล่ฟ้องปิดปากนักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านสิ่งแวดล้อม นักข่าว นักวิชาการ และประชาชนทั่วไปที่ออกมาพูดเพื่อปกป้องประโยชน์สาธารณะ ซึ่งถือเป็นการคุกคามสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานและทำลายการมีส่วนร่วมในกระบวนการประชาธิปไตย “กลยุทธ์ถ่วงเวลา” เหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพียงการปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มทุน แต่เป็นอุปสรรคเชิงโครงสร้างต่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนในทุกมิติ ทั้งสิทธิในการมีชีวิต สิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร สิทธิในการมีส่วนร่วมกำหนดนโยบาย หรือกำหนดเจตจำนงของตน และสิทธิของคนรุ่นใหม่ในการอยู่อาศัยในโลกที่น่าอยู่ในอนาคต “เราจะยอมให้กลไกการฟ้องปิดปากกลายเป็นอาวุธของอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ ใช้สร้างความกลัวต่อการพูดความจริงหรอ ขณะที่พวกเขากอบโกยกำไร และผลักภาระภัยพิบัติให้เราต้องจ่ายด้วยชีวิตอีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่เราต้องลุกขึ้นยืนยันว่า ความมั่งคั่งของกลุ่มทุนไม่อาจแลกได้ด้วยอนาคตของโลก เพราะทุกภัยพิบัติที่เราต้องเผชิญ คือผลกำไรของพวกเขา”  #It’sTimeToResist