
กรุงเทพฯ, 15 มีนาคม 2566 – ในการเลือกตั้งระดับชาติที่จะมีขึ้นในปี 2566 นี้ กรีนพีซ ประเทศไทยได้เปิดตัวแคมเปญ #VoteForClimate เข้าคูหากาสิ่งแวดล้อม พร้อมกับชูประเด็น “ข้อเสนอนโยบายสิ่งแวดล้อมต่อพรรคการเมือง” [1] กรีนพีซ ประเทศไทยเห็นว่าเป็นโอกาสสำคัญที่พรรคการเมืองซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชนในการดำเนินการทางการเมืองผ่านแนวนโยบายของพรรค จะมีบทบาทสำคัญในการปรับเปลี่ยนโครงสร้างและก่อรูปนโยบายสิ่งแวดล้อมที่สร้างความมั่นคงและเข้มแข็ง(Resilience) ของชุมชนและสังคมบนรากฐานของความเป็นธรรมและเคารพศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
ไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดอันดับที่ 9 ของโลกที่รับผลกระทบระยะยาวจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ รายงาน Global Climate Risk Index 2021 [2] ระบุว่าในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญกับเหตุการณ์สภาพภูมิอากาศสุดขั้ว 146 ครั้ง สร้างความสูญเสียต่อชีวิต 0.21 ต่อประชากร 1 แสนคน และเกิดความเสียหาย 7,719.15 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 0.82% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP) แต่นโยบายสภาพภูมิอากาศของไทยกลับเปิดช่องให้มีการฟอกเขียวโดยกลุ่มผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง
ข้อมูลจาก Climate Action Tracker[3] ซึ่งทำการจัดอันดับนโยบายสภาพภูมิอากาศของประเทศทั่วโลก ระบุว่า ประเทศจัดอยู่ในอันดับที่ “ไม่เพียงพออย่างยิ่ง(Critically insufficient)” ทั้งในแง่ของปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับนโยบายและพันธกรณีด้านสภาพภูมิอากาศ และความสอดคล้องกับเป้าหมายความตกลงปารีส
แม้วิกฤตสิ่งแวดล้อมทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น แต่การจัดสรรงบประมาณในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมของประเทศไม่คงที่และไม่ได้สัดส่วน ข้อมูลจากสำนักงบประมาณชี้ให้เห็นว่า ระหว่างปี 2560 – 2565 งบประมาณด้านสิ่งแวดล้อมค่อยๆ เพิ่มขึ้นระหว่างปี 2561- 2564 และในปี 2565 กลับลดลงต่ำสุดในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา [3]
ภายใต้แคมเปญ #VoteForClimate เข้าคูหากาสิ่งแวดล้อม กรีนพีซ ประเทศไทยหยิบยกประเด็นความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ (Climate Justice) เพื่อนำเสนอนโยบายสิ่งแวดล้อมต่อพรรคการเมืองเข้าด้วยกัน ดังนี้
- การให้ความสำคัญและรับรององค์ความรู้และภูมิปัญญาชุมชนท้องถิ่นในการต่อกรกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศและการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นธรรม ขณะที่กำหนดจุดยืนในเวทีโลกที่หนักแน่นในการจัดตั้งและดำเนินการกองทุนว่าด้วยความสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage) เพื่อกลุ่มประเทศที่เปราะบางจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
- การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม (Just Energy Transition) และประชาธิปไตยทางพลังงาน (Energy Democracy)
- มลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็กมาก (PM2.5)
- มลพิษพลาสติก
- มลพิษทางอากาศข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
- สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง
ธารา บัวคำศรี ผู้อำนวยการกรีนพีซ ประเทศไทย กล่าวว่า
“ในการเลือกตั้ง 2566 นี้ ไม่ว่านโยบายสิ่งแวดล้อมจะเป็นจุดขายของพรรคการเมืองต่าง ๆ หรือไม่อย่างไร แต่หากปราศจากการรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดี (right to a healthy environment) ซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชน นโยบายสิ่งแวดล้อมเหล่านั้นก็ถูกใช้เป็นกลไกในการฟอกเขียว ขยายความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มขึ้น และสร้างความขัดแย้งในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่มีที่สิ้นสุด”
กรีนพีซเชื่อว่าการเมืองที่ทำให้สิ่งแวดล้อมดีต้องอยู่บนรากฐานของความเป็นธรรมทางสังคมและประชาธิปไตยที่เปิดกว้างให้กับความหลากหลายทางความคิดและเปิดพื้นที่ให้กับการมีส่วนร่วมของประชาชนในการตัดสินใจและกำหนดนโยบายอย่างแข็งขันและมีความหมาย
#VoteForClimate เข้าคูหากาสิ่งแวดล้อม
หมายเหตุ
[1]ข้อเสนอนโยบายสิ่งแวดล้อมของกรีนพีซ ประเทศไทย ต่อพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง 2566 ฉบับเต็มสามารถดาวน์โหลดได้ที่ https://act.gp/VoteForClimatePolicy
[2] https://www.germanwatch.org/en/19777
[3] https://climateactiontracker.org/countries/thailand/
[4] https://www.greenpeace.org/thailand/story/20281/environment-budget-2021-analysis
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
สมฤดี ปานะศุทธะ ผู้ประสานงานสื่อมวลชน กรีนพีซ ประเทศไทย
อีเมล. [email protected] โทร. 081 929 5747
สรุปข้อเสนอนโยบายสิ่งแวดล้อมของกรีนพีซ ประเทศไทย ต่อพรรคการเมืองในการเลือกตั้ง 2566
การเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในปี 2566 นี้ กรีนพีซ ประเทศไทย ในฐานะเป็นองค์กรรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมได้ติดตามการพัฒนาวิสัยทัศน์และออกแบบนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ที่นำมาใช้ ในการหาเสียงเลือกตั้งที่จะมีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายสิ่งแวดล้อมซึ่งรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ดีเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาวะของประชาชนทุกคนในประเทศ
กรีนพีซ ประเทศไทยมีข้อเสนอต่อพรรคการเมือง ผู้กำหนดนโยบาย และรัฐบาลไทย ดังนี้
ความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ (Climate Justice)
- ให้จัดตั้งคณะกรรมาธิการรัฐสภาว่าด้วย “ความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ” โดยมีตัวแทนที่หลากหลาย และออกแถลงการณ์ “ภาวะฉุกเฉินสภาพภูมิอากาศ”
- ให้ความสำคัญและเปิดพื้นที่อย่างกว้างขวางต่อองค์ความรู้และภูมิปัญญาชุมชนท้องถิ่น ในการต่อกรกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และการฟื้นฟูเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเป็นธรรม
- กำหนดจุดยืนในเวทีโลกที่ชัดเจนและหนักแน่นในการจัดตั้งและดำเนินการกองทุนว่าด้วยความสูญเสียและความเสียหาย (Loss and Damage) เพื่อกลุ่มประเทศที่เปราะบางจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
- ยึดเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียส ตามความตกลงปารีส เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์อย่างแท้จริง (real zero)
- ป้องกันการครอบงำของบรรษัทข้ามชาติเหนือสิทธิบัตรพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์และสิ่งมีชีวิต
- ปฏิเสธแนวทางการชดเชยคาร์บอน (carbon offset) ที่เป็นเรื่องการฟอกเขียว (greenwash)
การเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรม (Just Energy Transition) และประชาธิปไตยทางพลังงาน (Energy Democracy)
- ปลดระวางถ่านหินเพื่อการเปลี่ยนผ่านพลังงานที่เป็นธรรมในประเทศไทยอย่างเร็วที่สุดภายในปี 2570 หรืออย่างช้าที่สุดภายในปี 2580
- สนับสนุนมาตรการ Net Metering ซึ่งเป็นนโยบายหักลบกลบหน่วยไฟฟ้าที่รับประกันถึงสิทธิของประชาชนเพื่อผลิตไฟฟ้าในระดับครัวเรือนจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด และส่งไฟฟ้าขายเข้าระบบสายส่งได้ก่อนโดยไม่จำกัดจำนวน
- หยุดเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPAs) ใดๆ จนกว่าจะมีการทบทวนค่าพยากรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในระยะยาว และกระบวนการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าเสียใหม่
- ปรับปรุงกระบวนการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) โดยคำนึงถึงหลักความรับผิดชอบ เป้าหมายภายใต้แผนที่นำทางลดก๊าซเรือนกระจก และใช้กระบวนการที่เป็นประชาธิปไตยที่มีส่วนร่วมของประชาชน
มลพิษทางอากาศจากฝุ่นละอองขนาดเล็กมาก (PM2.5)
- ผลักดันให้เกิดเครื่องมือทางกฎหมาย เพื่อให้มีการแก้ไขปัญหาในระยะยาว ดังนี้
- (ร่าง) พระราชบัญญัติการรายงานและเปิดเผยข้อมูลการปล่อยและเคลื่อนย้ายสารมลพิษ พ.ศ…. (PRTR)
- กฎหมายกำหนดค่ามาตรฐานการปลดปล่อย PM2.5 จากแหล่งกำเนิดมลพิษหลัก (Emission standard)
- กฏหมายว่าด้วยการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ที่คำนึงถึงความสามารถในการรองรับของมลพิษในพื้นที่และผลกระทบข้ามพรมแดน
- กฏหมายกำหนด ‘ระยะแนวกันชน’ ระหว่างแหล่งกำเนิดมลพิษกับแหล่งชุมชน
- นำหลักเศรษฐศาสตร์เข้ามาใช้เพื่อจัดการปัญหามลพิษ เช่นมาตรการภาษีสิ่งแวดล้อม
- ตั้งเป้าหมายเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวในเมืองอย่างน้อย 9 ตารางเมตรต่อคน
- ผลักดันนโยบายกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น-จังหวัด เพื่อให้เกิดการบริหาร จัดการแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ เช่น สนับสนุนให้จังหวัดทั่วประเทศเป็น ‘เมืองปลอดฝุ่น’
- การประกาศนําร่องพื้นที่ทดสอบนวัตกรรมสร้างสรรค์หรือแซนด์บ็อกซ์ (sandbox) เป็นเขตพื้นที่ปลอดฝุ่น
มลพิษพลาสติก
- ผลักดันกฎหมายการจัดการขยะบรรจุภัณฑ์อย่างยั่งยืนบนหลักการขยายความรับผิดชอบของผู้ผลิต (EPR)
- สนับสนุนสนธิสัญญาพลาสติกระดับโลก (Global Plastic Treaty)
- ยกเลิกพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งโดยกำหนดเป้าหมายระดับประเทศและท้องถิ่น
- ยุติการอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งหมดและระงับการอนุญาตทั้งในส่วนของการขยาย ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อจัดหาซัพพลายให้กับอุตสาหกรรมพลาสติก และในส่วนของโรงงานแปรขยะเป็นเชื้อเพลิงและขยะเป็นพลังงานทันที
- ยกเลิกการส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจพลังงานจากเชื้อเพลิงขยะพลาสติก และการอนุญาตนำเข้าเศษพลาสติกเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า รวมถึงการรีไซเคิลพลาสติกเชิงเคมี
- รับรองว่าชุมชนท้องถิ่น กลุ่มผู้มีรายได้น้อย กลุ่มแรงงาน กลุ่มคนเก็บขยะ ซึ่งได้รับผลกระทบจากขั้นตอนใด ๆ ก็ตามในกระบวนการผลิตพลาสติกจะมีส่วนร่วมในการ ออกแบบและได้รับประโยชน์จาก ระบบเศรษฐกิจที่สามารถฟื้นฟูได้และมีผลิตภาพ ซึ่งมิใช่เพียงการรีไซเคิลให้ได้มากขึ้น และเร็วขึ้นเท่านั้น
มลพิษทางอากาศข้ามพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
- ผลักดันให้มีกลไกทางสังคมเพื่อตรวจสอบให้กลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมมีความโปร่งใสและมีภาระความรับผิดชอบต่อความเสียหายด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพที่เกิดขึ้นตลอดห่วงโซ่อุปทาน
- ผ่าน (ร่าง) พรบ.คุ้มครองและส่งเสริมสิทธิวิถีชีวิตชนพื้นเมืองชาติพันธุ์ รับรองสิทธิชุมชนในการจัดการป่าที่ครอบคลุมการอนุรักษ์ ฟื้นฟูดูแลและการใช้ประโยชน์
- ผลักดันนโยบายแก้ไขปัญหาความมั่นคงในที่ดินทำกินอยู่อาศัยในเขตป่า และรับรองสิทธิชุมชนในการจัดการป่าที่ครอบคลุมการอนุรักษ์
- ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเกษตรอินทรีย์แห่งชาติ พ.ศ. 2560-2564 ภายใต้กรอบการพัฒนาที่ยั่งยืนและเกษตรกรรมยั่งยืน
- มีแผนระยะยาวเพื่อลดพื้นที่การผลิตพืชเชิงเดี่ยว
- ใช้มาตรการที่เข้มงวดให้ผู้ประกอบการในห่วงโซ่อุปทาน ยุติการรับซื้อผลผลิตที่มาจากการเผาทั้งในประเทศ และประเทศเพื่อนบ้าน และการสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรเข้าสู่กระบวนการปรับเปลี่ยน การพัฒนาเทคโนโลยีในการจัดการเศษซาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อฟื้นฟูพัฒนาดิน
- ผลักดันนโยบายกระจายอำนาจสู่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น-จังหวัด เพื่อให้เกิดการบริหาร จัดการแก้ไขปัญหาที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่
สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง
- ยุติโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในพื้นที่ชายฝั่งทะเลทั้งหมด และผลักดัน ให้มีการออกแบบยุทธศาสตร์การพัฒนาพื้นที่ทะเลและชายฝั่งร่วมกับชุมชน
- ทบทวนนโยบายการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งในประเทศไทย ที่คุ้มครองและสนับสนุนสิทธิชุมชนและประชาชนในการอนุรักษ์ฟื้นฟูระบบนิเวศทะเล พื้นที่ชุ่มน้ำและชายฝั่งที่เป็นรากฐานของเศรษฐกิจแบบเกื้อกูล (supportive economy) และแหล่งความมั่นคงทางอาหารของชุมชนและประเทศ