บากู อาเซอร์ไบจาน – ผู้นำโลกที่เข้าร่วมการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 29 (COP29) ที่จัดขึ้นใน บากู อาเซอร์ไบจาน จะต้องรับมือและแก้ปัญหาภาวะโลกเดือดอย่างจริงจัง จากการที่ในปีนี้มีอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งการปล่อยก๊าซที่เพิ่มขึ้น โดยผู้นำโลกจะต้องมีข้อตกลงเกี่ยวกับเป้าหมายกองทุนสนับสนุนด้านการเงินเพื่อชดเชยและช่วยเหลือในด้านการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศสำหรับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

แจสเปอร์ อินเวนเทอร์ หัวหน้าตัวแทนคณะเจรจาของกรีนพีซ สากล กล่าวว่า “เราเผชิญผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทำให้โลกย่ำแย่ลง ทั้งจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น ไปจนการปล่อยก๊าซคาร์บอนในปริมาณมหาศาล ตอนนี้ถึงเวลาที่ผู้ก่อมลพิษต้องชดเชยค่าความสูญเสียและเสียหายเหล่านี้แล้ว ผู้นำโลกจะต้องหยุดตอบรับสถานการณ์ด้วยการถ้อยทีถ้อยอาศัย แต่จะต้องกล้าที่จะลุกขึ้นมากู้วิกฤตสภาพภูมิอากาศด้วยความกล้าหาญและทะเยอทะยาน”

“ผู้คนทั่วโลกกำลังตกทุกข์จากภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นพายุหรือน้ำท่วมรุนแรง แม้กระนั้นเรายังคงมีหวังที่โลกจะกู้วิกฤตครั้งนี้ได้ อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญที่จะช่วยกู้วิกฤตครั้งนี้ได้นั่นคือการเรียกร้องให้ผู้ก่อมลพิษออกมารับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลและกลุ่มอุตสาหกรรมยักษ์ใหญ่ในภาคอื่น ๆ ที่จะต้องจ่ายชดเชยค่าความสูญเสียและความเสียหายจากผลกระทบที่พวกเขาก่อขึ้น ผู้นำโลกแต่ละประเทศมีอำนาจที่จะสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้น และจะต้องลงมือทำตอนนี้ทันที”

“ทางที่จะช่วยชะลอผลกระทบคือข้อตกลงจาก COP28 ที่มุ่งสู่การเปลี่ยนผ่านพลังงาน โดยทั่วโลกต้องปลดระวางจากการใช้ถ่านหิน น้ำมันและก๊าซ ในปี 2578 เรากำลังอาศัยอยู่ในภาวะวิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและผู้นำโลกจะรีรอไม่ได้อีกแล้ว”

ในการประชุม COP29 นี้ กรีนพีซเรียกร้องให้มี

  • เป้าหมายกองทุนสนับสนุนด้านการเงินที่เข้มแข็งมากพอ หรือแผนการ the New Collective Quantified Goal : NCQG โดยตกลงที่จะเพิ่มจำนวนเงินในกองทุนสาธารณะเพื่อเป็นทุนสำหรับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในการปรับตัว รับมือ และยังเป็นเงินชดเชยค่าความสูญเสียและเสียหายที่อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลและอุตสาหกรรมอื่น ๆ ซึ่งผู้ก่อมลพิษหลักเหล่านี้จะต้องเป็นผู้จ่ายเงินเข้ากองทุน
  • การนำข้อตกลงจาก COP28 เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลมาปฏิบัติ รวมทั้งยังต้องรวมแผนการดำเนินงานของแต่ละประเทศที่จะต้องดำเนินการไปในทิศทางเดียวกันกับแผนการชะลอไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยโลกสูงเกินกว่า 1.5 องศาเซลเซียสภายในปี 2573 และ 2578
  • ต้องป้องกันไม่ให้เกิดผลลัพธ์ที่ไร้ประสิทธิภาพของการชดเชยคาร์บอนและตลาดคาร์บอน เพื่อปกป้องและปล่อยให้ระบบนิเวศที่กักเก็บคาร์บอนให้กลับมามีความสมบูรณ์

เทรซี่ คาร์ธี่ ผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบายสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซ สากล กล่าวว่า “กองทุน NCQG เป็นกองทุนที่จะกำหนดมาตรฐานว่าใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศใน 10 ปีข้างหน้าและปีต่อ ๆ ไป รวมถึงกำหนดเงื่อนไขว่าประเทศและชุมชนที่มีส่วนรับผิดชอบน้อยที่สุดต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศจะได้รับการสนับสนุนที่พวกเขาต้องการอย่างเร่งด่วนและสมควรได้รับหรือไม่”

“ในขณะที่การเพิกเฉยและไม่ดำเนินการใดๆกำลังทำให้ผลกระทบต่อผู้คนรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่เงินหลายล้านล้านดอลลาร์ที่ไปสนับสนุนอุตสาหกรรมฟอสซิลรวมทั้งผลกำไรที่อุตสาหกรรมได้รับ กลับกลายเป็นเรื่องที่สำคัญเหนือกองทุนเพื่อฟื้นฟูกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา กองทุน NCQG จึงจะต้องจัดการความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นและต้องให้ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่ายชดเชยค่าความสูญเสียและเสียหายที่พวกเขาก่อขึ้น”

“เงินหลายล้านล้านดอลลาร์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับแผนการกู้วิกฤตสภาพภูมิอากาศของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ผลลัพธ์หลักที่กองทุนต้องแสดงให้เห็นคือความมุ่งมั่นและความชัดเจนจากกลุ่มประเทศร่ำรวยที่พัฒนาแล้วที่จะเพิ่มเงินเข้าสู่กองทุนสาธารณะเพื่อสนับสนุนกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาให้รับมือกับภัยพิบัติที่เกิดจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น รวมทั้งยังเป็นกองทุนสำหรับเปลี่ยนผ่านพลังงานสู่พลังงานหมุนเวียนที่สะอาด”


ติดต่อ

Aaron Gray-Block, Greenpeace International, Climate Politics Communications Specialist, [email protected]

Gaby Flores, Communications Coordinator, Greenpeace International, +1 214 454 3871, [email protected]

Greenpeace International Press Desk, +31 (0)20 718 2470 (available 24 hours), [email protected]