บุญยืน ศิริธรรม ต่อสู้เพื่อความชอบธรรมของพี่น้องประชาชาชนมามากกว่า 30 ปี จากนักสู้ที่เรียกร้องและมักจะเป็นผู้ร้องทุกข์ต่อรัฐจนเกิดความเปลี่ยนแปลงในหมู่บ้านซึ่งเป็นถิ่นเกิดในจังหวัดสมุทรสงคราม 

เธอเป็นแกนนำคัดค้านการรุกรานจากภาคอุตสาหกรรมเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมร่วมกับชาวแม่กลองกระทั่งเข้าไปนั่งอยู่ในรัฐสภาในฐานะสมาชิกวุฒิสภาเมื่อปี 2557 และพ้นจากตำแหน่งเมื่อเกิดการรัฐประหารในปีเดียวกัน แม้จะเป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่เธอก็ได้เห็นว่าการจะแสวงหาความชอบธรรมในเรื่องพลังงานจากรัฐสภาเป็นเรื่องสิ้นหวัง ด้วยเสียงของรัฐสภานั้นเอียงข้างไปอยู่ฝั่งกลุ่มทุน และโยนภาระให้ประชาชนเป็นผู้แบกรับมาทุกยุคทุกสมัย 

หลังพ้นจากตำแหน่งในรัฐสภาที่ฉาบไว้ด้วยคำว่า ‘ทรงเกียรติ’  บุญยืนยังคงยืนเคียงข้างประชาชนเจ้าของอำนาจอธิปไตยที่มีเพียงเสียงเล็กๆ ในไม่กี่วินาทีของการกาบัตรเลือกผู้แทนให้ไปทำหน้าที่ในสภา เธอเป็นตัวแทนของประชาชนในฐานะประธานสภาผู้บริโภค หนึ่งในหลายประเด็นนั้นคือการเรียกร้องสิทธิพื้นฐานในการเข้าถึงพลังงานสะอาดที่เป็นธรรม ซึ่งเธอออกปากว่าเป็นเรื่องยากมหันต์

แม้ในวันนี้ประเทศไทยจะมีแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า ฉบับร่างปี 2567 หรือ PDP2024 แล้วก็ตามที ก็ยังไม่มีท่าทีว่าแผนนี้จะสร้างความเป็นธรรมด้านพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดให้เกิดขึ้นได้จริง และคนที่ได้ประโยชน์จากแผนนี้ ก็ยังคงเป็นกลุ่มทุนเช่นเคย

“เราเป็นตั้งแต่รากของหญ้าที่อยู่กับไส้เดือนในดิน คืออยู่กับความลำบากยากจนของชาวบ้าน จนขึ้นไปบนยอดไม้ด้วยการเป็น สว. เราต่อสู้มา 30 กว่าปี สู้ในหลายเรื่อง จนติดคุกติดตาราง เรื่องพลังงานเป็นอะไรที่สู้ยากที่สุด ยิ่งกว่าเอาไม้จิ้มฟันไปยันหน้าผา เพราะมันมีเจ้าของ มีนายทุน มีกฎหมายที่กำหนดมาเพื่อเอื้อนายทุนทุกช่องทาง”

ยืนเคียงข้างพี่น้องประชาชน ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมทางพลังงาน

การต่อสู้ในภาคประชาชนที่มีเครือข่ายหลายองค์กรเห็นพ้องและเดินหน้าไปด้วยกัน คือแรงขับเคลื่อนพลังกายและพลังใจอันสำคัญที่ทำให้เธอ บุญยืนยังคงยืนหยัดกับการเป็นปากเป็นเสียงแทนประชาชนคนไทย 

“การต่อสู้ที่ผ่านมามันมีผล มันเป็นกำลังใจ เพราะเดิมเรื่องพลังงานมันอยู่ในแดนสนธยา นโยบายทับซ้อนซ่อนเงื่อนมาก อย่างน้อยวันนี้เรื่องนี้มันเข้าไปอยู่ในปากของพรรคการเมือง มันทำให้เปิดออกมาว่ามีไอ้โม่ง รัฐบาลที่พูดเพราะ ๆ นี่แหละเป็นคนทำนโยบายนี้ เรายิ่งสู้ยิ่งมีเพื่อน และมันมีความหวังว่าจะทำให้เกิดความยุติธรรมด้านพลังงานได้สักวัน 

“ถ้าเราไม่ค้าน แล้วใครจะค้านล่ะ เกิดมาหนเดียว ตายหนเดียว ฉะนั้นเราไม่กลัว จะอยู่สู้กับมันไปอย่างนี้” 

ที่บังแดดอยู่ไม่ใช่เมฆ ไม่ใช่ต้นไม้ แต่คือนโยบายจากรัฐที่บดบัง

บ้านของบุญยืนซึ่งอยู่ริมฝั่งน้ำตามแบบลูกหลานชาวประมง เต็มไปด้วยต้นไม้ที่เธอบอกว่ามันฉลาดที่รู้จักใช้ประโยชน์จากแสงอาทิตย์เพื่อดำรงชีพ ในมุมมองเดียวกัน ก็เป็นความฉลาดของมนุษย์อีกจำนวนไม่น้อย ที่รู้จักเก็บเอาแสงอาทิตย์มาผันเป็นพลังงานไฟฟ้าผ่านการติดแผงโซลาร์บนหลังคาบ้าน เช่นเดียวกับหลังคาบ้านของบุญยืนที่ตอนนี้กลายเป็นโรงไฟฟ้าขนาดย่อมที่ผลิตกระแสไฟฟ้าไว้ใช้ในบ้านของตัวเอง

“เมื่อก่อนไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย ก่อนมาติดโซลาร์รูฟท็อปเราทำงานเกี่ยวกับเรื่องพลังงานมายาวนาน ทำให้เรามีความรู้เรื่องพลังงานเพิ่มขึ้น เราเคยร่วมงานกับอาจารย์ประสาท มีแต้ม เพื่อหาพลังงานหมุนเวียนที่เหมาะสม แล้วอาจารย์ประสาทก็บอกว่าแดดนี่แหละเหมาะสมที่สุด มันมาทุกวัน ซื่อสัตย์กับทุกคน ไม่มีลำเอียง มาบ้านคนจนคนรวยเหมือนกันหมด เพราะเขาคือความยุติธรรม อาจารย์ศึกษานโยบาย ‘เสียดายแดด’ และทำออกมาเป็นงานวิจัยชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ทำให้รู้ว่าที่บังแดดอยู่ไม่ใช่ต้นไม้ แต่คือนโยบาย 

“จากนั้นเราทำวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง ชื่อน่าสนุกมากคือ ‘อย่าบังแดด’ เราอยากให้ชาวบ้านใช้พลังงานแสงอาทิตย์ให้เป็นประโยชน์ แต่งานวิจัยนี่วิจัยให้ตายแต่ไม่มีการลงมือทำ มันก็ไม่มีวันเป็นไปได้ที่คนจะหันกลับมาทำตาม เพราะผู้เชี่ยวชาญบอกว่าแดดบ้านเราไม่พอ ร้อนขนาดนี้จะไหม้ตายแล้วบอกยังไม่พอ ต้องการแดดขนาดไหนเหรอ ถูกมั้ย” บุญยืนถามกลับ 

“แต่การที่เราจะไปบอกชาวบ้านว่าแสงอาทิตย์ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่บ้านตัวเองยังไม่ติด เราก็รู้สึกละอายใจ ฉะนั้นก่อนจะเปลี่ยนคนอื่นเราต้องเปลี่ยนตัวเองก่อน เราลงทุนติดโซลาร์เซลล์บนหลังคา แต่ด้วยความไม่ค่อยรู้อะไร เขามีอินเวอร์เตอร์ 3 กิโลวัตต์ เราติดแค่ครึ่งกิโลวัตต์เอง แต่ก็ลดค่าไฟไปได้เยอะนะ”

จากบิลค่าไฟฟ้าเดือนละประมาณ 2,600 บาท ลดลงมาเหลือ 89 บาทในเดือนที่บุญยืนติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป ตัวเลขการใช้ไฟที่ลดฮวบลงทำให้เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าติดตามมาถึงที่บ้านเพื่อหาความผิดปกติ “เขามาดูว่าเราทำอะไรกับมิเตอร์หรือเปล่า เราโกงค่าไฟหรือเปล่า พอเขารู้ว่าค่าไฟลดลงเพราะโซลาร์เซลล์ เขาก็บอกคุณต้องไปจดแจ้งนะ ไม่แจ้งไม่ได้ ผิดกฎหมาย เราก็ตอบภาษาชาวบ้านไปว่า กูไม่แจ้ง กูจะรอให้มึงมาฟ้อง กูจะเป็นคนแรกของประเทศไทยที่ผลิตไฟฟ้าใช้เองบนหลังคาแล้วถูกฟ้อง แต่เขาก็ไม่ได้มาฟ้องนะ 

“สาเหตุที่เราไม่ไปแจ้งไม่ใช่เพราะดื้อดึงอะไรหรอก แต่เราเห็นว่าเขาออกกฎระเบียบมาเพื่อกีดกันการติดตั้งโซลาร์เซลล์ พอชาวบ้านจะติดตั้ง มหาดไทยก็ออกกฎระเบียบมาว่า ใครที่จะติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาต้องมีคำรับรองจากวิศวกรเรื่องแบบบ้าน บ้านหลังนี้ปลูกมา 40 ปี เมื่อก่อนมีวิศวกรเหรอ อยากปลูกยังไงก็บอกช่างว่าอยากได้แบบไหน แล้วถามหน่อย ติดแผ่นโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านตัวเอง 6 แผ่น มันหนักมากเหรอ แล้วถ้าหลังคาบ้านพัง มันเดือดร้อนอะไรรัฐ เพราะบ้านกู กูซ่อมเอง” บุญยืนเล่าด้วยน้ำเสียงดุดันชัดถ้อยชัดคำตามสไตล์คนจริง

“ความที่เมื่อก่อนเราก็ไปลุยกับ กกพ. (สํานักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน) มาเยอะ ก็มีข้อมูลแย้งกับเขา จนสุดท้ายเขาก็บอกว่าไม่ต้องขออนุญาต แค่จดแจ้ง แต่การจดแจ้งเราต้องไป 4-5 ที่ ยุ่งยากนะแค่แจ้งเนี่ย แล้วแจ้งเพื่ออะไรรู้มั้ย เพื่อให้ กกพ.อนุญาตให้การไฟฟ้าเอามิเตอร์ดิจิทัลกันไฟย้อนกลับมาติดตั้ง แต่เราไม่ไป พอไม่ไปแจ้งเขาก็เอามาติดตั้งให้เอง แล้วจะไปแจ้งเพื่ออะไร? มันเป็นกฎระเบียบที่ออกมาเพื่อกีดกัน กับชาวบ้านเขาอาจจะยอม แต่เราไม่ยอม เพราะสิ่งที่เขาทำไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง คุณจะไปคิดกฎระเบียบยังไงก็ได้กับนายทุน เขาทำตามคุณอยู่แล้ว หรือแค่เอาเงินยัดก็ไม่ต้องทำตามแล้ว เพื่อประโยชน์ในการทำธุรกิจของเขา แต่เราไม่มี เราติดแค่เพื่อประโยชน์บ้านเรา”

บุญยืนยอมรับการติดตั้งมิเตอร์ดิจิทัลแทนมิเตอร์แบบเดิมทั่วไป จากการไฟฟ้าฯ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาหลังเปลี่ยนมิเตอร์คือลดค่าไฟได้น้อยลง เพราะมิเตอร์ดิจิทัลไม่สามารถหมุนไฟฟ้าที่ผลิตได้กลับเข้าไปในระบบและหักลบกลบหน่วยได้เหมือนเดิม กระทั่งภายหลังเธอเปลี่ยนระบบไฟฟ้ามาเป็นระบบ TOU ซึ่งคิดอัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาของการใช้ เพราะเหมาะกับการใช้งานของตนมากกว่า

“เราใช้รถยนต์ไฟฟ้า กลางวันปกติค่าไฟจะแพงกว่าคนอื่นหน่วยละบาท แต่ 3 ทุ่มถึง 9 โมงเช้าจะเหลือครึ่งราคา วันเสาร์อาทิตย์ก็ครึ่งราคา เราชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ากลางคืนก็คุ้มกว่า ทุกวันนี้บ้านเราชาร์จรถ ใช้ไฟในบ้าน เปิดแอร์ให้หมานอนทุกวัน ไม่มีคำว่าประหยัดเพราะเราผลิตไฟฟ้าได้เอง เพราะถ้าประหยัดมันก็เหลือทิ้ง มันไหลกลับเข้าระบบไฟฟ้าไม่ได้ ดูบิลค่าไฟเดือนที่แล้วเสีย 2,600 บาท แล้วไม่ต้องเสียค่าน้ำมันรถ”

การทดลองติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปด้วยตัวเอง นำมาสู่งานวิจัยเชิงปฏิบัติที่บุญยืนซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่อยู่ในมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ร่วมกับสารี อ๋องสมหวัง อาจารย์ประสาท มีแต้ม กับอีกหลายองค์กร ทำโครงการ ‘กองทุนแสงอาทิตย์’ ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาโรงพยาบาล 7 แห่งทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ด้วยเงินที่มาจากการบริจาค โดยติดตั้งแห่งแรกที่โรงพยาบาลหลังสวน จังหวัดชุมพร เมืองที่ได้ชื่อว่าฝนแปดแดดสี่ 
“แดดมีน้อยกว่า ลองดูว่าจะคุ้มมั้ย เราทำแบบดูเรียลไทม์ว่าวันหนึ่งเขาใช้ไฟไปเท่าไร ต้องจ่ายเท่าไร มันประหยัดและใช้งานได้จริงมั้ย สรุปออกมาว่าขนาดฝนแปดแดดสี่ยังมีกำไรเลย จากนั้นเราก็ไปติดตั้งใน 7 พื้นที่ อย่างที่โรงพยาบาลบ้านแพ้ว เขาบอกว่าลดค่าไฟได้เดือนละ 2 หมื่นบาท เยอะนะ ติดตั้ง 3 ปีคืนทุนแล้ว ได้กำไรไปอีก 22 ปี”

ความมั่นคงทางพลังงานที่แท้จริง คือการมีไฟฟ้าบนทุกหลังคาเรือน

ประสบการณ์การต่อสู้ที่ผ่านการถูกฟ้องร้อง จองจำ ชัยชนะ ความพ่ายแพ้ ตลอดเวลากว่า 30 ปีนั้น แลกมากับการได้เห็นเนื้อในและกับดักที่ถูกวางไว้อย่างแน่นหนา จนประชาชนไม่อาจเข้าถึงความเป็นธรรมได้ ในสายตาของบุญยืน นอกจากนโยบายของรัฐจะเอื้อต่อนายทุนแล้ว กระบวนการยุติธรรมก็ยังเอื้อแต่นายทุนไม่ต่างกัน 

“ระบบกฎหมายไทยเหมือนใยแมงมุมที่นอกจากวกไปวนมาแล้วยังมีความอ่อนแอ ใยแมงมุมมันดักจับได้แต่เศษเล็กเศษน้อยหรือแมลงเพื่อมาเป็นเหยื่อ กฎหมายไทยก็ดักจับได้แต่ประชาชนคนเล็กคนน้อยที่สู้ไม่ได้ แต่ถ้าเป็นอีกามากระพือปีก ไม่ต้องถึงพญาอินทรีย์หรอก พอเงินมาใยแมงมุมขาดหมด 

“การทำงานวิจัย ‘อย่าบังแดด’ ทำให้เรารู้ว่านโยบายมันเฮงซวยขนาดไหน อย่าไปด่าการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเลยเพราะการไฟฟ้าต้องทำงานภายใต้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) แล้วยังมี กกพ.อีก นักการเมืองที่บอกว่าไม่รู้ ๆ นายกฯ ทุกคนนั่งหัวโต๊ะ รู้ทุกอย่าง แต่ห้ามพูดถึง พอเราพูดถึงการอนุรักษ์ เขาก็ตั้งกองทุนอนุรักษ์พลังงานโดยเก็บเงินจากคนใช้น้ำมันทุกลิตร เสร็จแล้วก็ปล่อยให้มีคนมาก่อตั้งมูลนิธิอนุรักษ์พลังงานแล้วมาจัดการกองทุนซึ่งเป็นเงินของชาวบ้าน ไม่ใช่เงินของรัฐ พอเราไปแตะเรื่องนี้ก็ถูกฟ้องมาหลายคดี 

“มีเรื่องหนึ่งที่เรารณรงค์ เราตั้งคำถามว่า ‘พลังงานไทย พลังงานใคร’ ใช่พลังงานเราเหรอ ในเมื่อคุณไปทำสัญญาซื้อไฟฟ้าที่คุณก็รู้ว่าไฟฟ้ามันมีมากมายอยู่แล้ว แต่คุณก็ซื้อๆๆ มาให้เหลือทิ้ง โรงงานผลิตไฟฟ้าของนายทุนไม่เดินเครื่องเลยแต่คุณก็ไปทำสัญญาว่าจะให้เงินเขาหมด แล้วคนที่จ่ายไม่ใช่คนทำสัญญา ประชาชนอย่างเราต้องจ่าย ประชาชนคือถังขยะ แล้วรัฐบาลบอกจะลดความยากจน จะลดได้ยังไงในเมื่อเอาเปรียบประชาชนทุกทางเลย พอชาวบ้านรู้ทัน มาเปิดโปง เสียค่าโง่ รัฐบาลไม่เคยรับผิดชอบอะไร มีแต่ประชาชนที่ต้องเป็นคนจ่ายค่าโง่ นโยบายเหล่านี้แหละที่เอื้อนายทุน

“เวลาออกนโยบายรัฐมักจะบอกว่า ต้องป้องกันการขาดทุนของนายทุนด้วย เพื่อแรงจูงใจในการมาลงทุน แต่ทุกครั้งที่คุณเห็นใจนายทุน นั่นคือคุณพล่าผลาญเอาเปรียบประชาชน แต่ถ้ารัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนประชาชน เช่น สนับสนุนโซลาร์เซลล์ ให้แผงโซลาร์เซลล์ถูกลง อินเวอร์เตอร์มีราคาถูกลง สนับสนุนการนำเข้าที่ปลอดภาษี เพื่อให้คนใช้เยอะ เมื่อซื้อเยอะก็จะสามารถต่อรองได้ แต่การไม่มีนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนสามารถติดโซลาร์เซลล์บนหลังคาได้ มันคือนโยบายที่กีดกันไม่ให้ประชาชนพ้นจากความยากจน

“เราขอตั้งคำถามว่า ทำไมประชาชนต้องเป็นคนซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าอย่างเดียว ทำไมเอกชนซึ่งผลิตเอากำไรผลิตได้ แต่ประชาชนผลิตเพื่อใช้เองผลิตไม่ได้เพราะอะไร มันผิดตรงไหน รัฐบาลที่บอกว่าจะทำเพื่อประชาชน ให้อยู่ดีกินดี มีเกียรติมีศักดิ์ศรีไปพร้อมๆ กัน แต่เอื้อนายทุนอย่างเดียว มีแต่ศักดิ์​ศรีของนายทุน ไม่ได้มีศักดิ์ศรีของประชาชนเลย เพราะประชาชนถูกกดให้เป็นคนจ่ายอย่างเดียว ทั้งน้ำมัน ไฟฟ้า 

“ฉะนั้นวันนี้เรามาช่วยกันแหกกฎนโยบาย ถ้าเราช่วยกันเยอะ ก็จะทำให้นโยบายของรัฐบาลที่เอื้อแต่ทุนผูกขาดต้องมาเอื้อประชาชนบ้าง อย่าให้รัฐที่ใช้ภาษีจากเราทุกวันเนรคุณเราแล้วไปทำงานให้นายทุน ปลาใหญ่มันกินปลาเล็กไม่ได้หรอก ถ้าไม่มีหัวเรือใหญ่อย่างรัฐบาลเอื้อ 

“ตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ความคิดที่ว่าความมั่นคงคือเราต้องมีโรงงานขนาดใหญ่เป็นความคิดเก่า เราขอตั้งคำถามว่า ทำไมเวลามีปัญหาไฟฟ้าดับ โรงไฟฟ้าในพื้นที่ตั้งสิบกว่าโรงถึงช่วยไม่ได้ แต่ถ้าทุกบ้านของเราผลิตไฟฟ้าใช้เอง ต่อให้โรงไฟฟ้าถูกถล่ม ไฟฟ้ามีปัญหา เรายังมีไฟฟ้าของเราใช้ การมีไฟฟ้าบนทุกหลังคาเรือนมั่นคงกว่ามีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่นะ เรามั่นใจอย่างนี้ และถ้าพูดถึงพลังงานหมุนเวียน ถ้าเราคิดเชิงเดี่ยว ปลาเล็กตัวเดียวสู้ปลาใหญ่ไม่ได้ โดนกินแน่นอน แต่ถ้าเรากลับความคิดเสียใหม่ ให้ปลาเล็กมารวมกัน คือรวมตัวกันติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป นี่คือความมั่นคงด้านพลังงานตัวจริง” 

ทางออกของการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานที่สะอาดและเป็นธรรมของคนไทยอยู่ตรงไหน?

แม้ในแผน PDP2024 หรือแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า ฉบับร่างปี 2567 จะมีการตีฆ้องประกาศว่า ทิศทางของพลังงานไทยมีเป้าหมายไปสู่พลังงานสะอาด แต่เมื่อกางแผนดูถึงรายละเอียดก็ยังพบว่าไม่ตอบโจทย์ โดยแผนดังกล่าวยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในการผลิตไฟฟ้าทั้งถ่านหินและก๊าซฟอสซิล และมีสัดส่วนในการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนไม่สูงพอ ซึ่งไม่สอดคล้องกับทิศทางโลก และสวนกับคำมั่นสัญญาในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2608 

แล้วทางออกในการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานสะอาดและเป็นธรรมของไทยอยู่ตรงไหน บุญยืนชี้ให้เห็นปัญหาของเรื่องนี้ว่า “ที่ผ่านมากลุ่มเราได้เรียกร้องพลังงานสะอาด และเมื่อเราเรียกร้อง นายทุนก็ผลิตพลังงานที่สะอาด พอเราเรียกร้องโซลาร์รูฟท็อป นายทุนก็ไปทำโซลาร์ฟาร์ม แล้วการตัดสินใจของรัฐคือออกนโยบายซื้อพลังงานจากนายทุน แต่กีดกันการติดตั้งโซลาร์บนหลังคาประชาชน พอเราบอกว่าพลังงานน้ำเป็นพลังงานสะอาด คุณก็ไปสร้างเขื่อนจนสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านเพื่อเอาน้ำมาผลิตพลังงาน ทั้งๆ ที่ถ้าคุณใช้พลังงานแสงอาทิตย์ จะไม่เดือดร้อนใครเลย 

“ฉะนั้นเราจึงอยากเสนอให้รัฐบาลมีนโยบายในการสนับสนุนให้ชาวบ้านผลิตไฟฟ้าใช้เองด้วยการติดโซลาร์เซลล์บนหลังคา แล้วใช้ระบบ Net Metering ที่สามารถหักลบกลบหน่วยไฟฟ้า คือทำให้ประชาชนไม่ต้องเป็นผู้ซื้ออย่างเดียว แต่ผลิตไฟใช้ด้วย”

เมื่อหันกลับมามองแผนแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ที่ยังคงมีข้อถกเถียงกันอยู่นั้น บุญยืนให้ความเห็นว่า “แผน PDP กำหนดไว้กว้างๆ ว่าเราต้องมีพลังงานหมุนเวียนเท่านั้นเท่านี้โดยไม่กำหนดว่าเป็นใครบ้าง แบบนี้เป็นการเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐและนักการเมืองเอื้อประโยชน์ให้นายทุน เพราะฉะนั้นการที่มีแผนว่าจะทำให้เกิดพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะโซลาร์เซลล์ต้องกำหนดไปเลยว่าต้องมีการติดตั้งบนหลังชาวบ้านอย่างน้อย 1 ล้านหรือ 2 ล้านหลังคาเรือน เพื่อป้องกันไม่ให้เอาสิ่งที่เราใส่ไว้ในแผนไปถวายให้นายทุน และถ้ารัฐมีนโยบายลดดอกเบี้ยสำหรับคนที่กู้เงินมาเพื่อติดตั้งโซลาร์เซลล์ เราคิดว่าคนจะเห็นประโยชน์เยอะ”

ส่วนเรื่องความเป็นธรรมด้านพลังงานที่สังคมไทยยังไม่มีทีท่าว่าจะไปถึงฝั่งนั้น “ความไม่เป็นธรรมของพลังงานไม่ใช่แค่นโยบายอย่างเดียว มันซับซ้อนกว่านั้น มันมีการเขียนกฎหมายให้ทำผิดอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งเวลาออกกฎหมายประชาชนไม่เคยมีสิทธิมีส่วนร่วม แต่ชวนนายทุนที่จะเอาเปรียบประชาชนไปช่วยร่างกฎหมาย แล้วประชาชนมีหน้าที่จ่ายเงินให้พวกคุณอย่างเดียว 

“นโยบายของเราคือเราต้องการพลังงานที่เป็นธรรม แต่อุปสรรคในการเกิดพลังงานที่เป็นธรรมคือแผน PDP ที่กำหนดโดยนายทุนและข้าราชการ เวลารับฟังความคิดเห็นก็เปิดรับฟังทางออนไลน์ ชาวบ้านรู้บ้างไม่รู้บ้าง แล้วก็รับฟังช่วงสั้นๆ พูดอะไรไปก็เหมือนตักน้ำรดหัวสาก ไม่เคยฟัง ตอนเขียนแผนออกมา ตอนแรกเขียนแผนพลังงานหมุนเวียนไว้นิดเดียว พอให้เขียนว่ามีพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้น ภาคประชาชนก็คิดว่าถ้ามีพลังงานหมุนเวียนเพิ่มขึ้นก็จะให้มีการติดตั้งโซลาร์เซลล์ให้ประชาชนเพิ่มขึ้น ปรากฏว่าไม่ใช่ เขาไปสนับสนุนโซลาร์ฟาร์ม ขนาดตอนนี้ไฟฟ้าเราเหลือทิ้งเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ ก็ยังจะไปซื้ออีก 3,000 เมกะวัตต์ 

“แล้วแผน PDP ที่เราค้านอยู่ทุกวันนี้ ปัจจุบันยังไม่บังคับใช้ก็เพื่อจะต่อเวลาให้นายทุนในการรับซื้อให้เสร็จเรียบร้อย เป็นการเอื้อกระทั่งบังคับใช้แผน แล้วจากเดิมการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยผลิตได้แค่ 35 เปอร์เซ็นต์ ในแผนใหม่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจะผลิตได้แค่ 17 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือโอนให้นายทุนหมดเลย ตอนนี้เรากำลังทำหนังสืออุทธรณ์ กกพ.อยู่ เสนอไปหลายข้อ ให้เขาเจรจากับนายทุนว่าโรงไฟฟ้าที่ไม่ได้เดินเครื่องก็อย่าไปจ่ายเต็มได้ไหม เพราะประชาชนรับไม่ไหวแล้ว แพงมาก อีกอย่างทำไมถึงไม่ออกนโยบายเอื้อให้กลุ่มเปราะบางติดโซลาร์เซลล์บนหลังคาเพื่อลดค่าใช้จ่าย เขาจะได้ไม่พะวงกับค่าไฟ แล้วเอาเงินไปใช้เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ฉะนั้นในเมื่อเรามีหน้าที่เสนออะไรไปแล้วยังไม่ฟัง หน้าที่ในการคัดค้านก็ต้องเป็นเรา”

“สิ่งที่อยากบอกไปถึงผู้กำหนดนโยบายก็คือ ทุกวันนี้คุณไม่ได้มีอำนาจด้วยตัวเอง ประชาชนมอบอำนาจให้คุณเพื่อไปเป็นตัวแทนทำงานให้ โปรดเห็นหัวประชาชนบ้าง อย่าเห็นแต่หัวนายทุนอย่างเดียว อย่าเห็นแต่ประโยชน์ตอบแทน จุดอ่อนของรัฐบาลคือฟังแต่เอกชน ปรึกษาแต่สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม แต่สภาผู้บริโภคหรือสภาเกษตรกรกลับไม่เคยสนใจที่จะฟัง ทั้งๆ ที่สภานี้คือคนส่วนใหญ่ของประเทศ รู้จักใช้หูฟังเสียงประชาชนบ้าง เราไม่ใช่ศัตรูกับรัฐบาล เพราะเราเลือกเขาเข้าไปก็เพื่อทำงานให้ประชาชน รัฐบาลทำดีก็ทำได้ถ้าจะทำ”

เป็นเวลาร่วม 1 ชั่วโมงในการสนทนากับบุญยืน เธอได้เผยถึงเจตนารมณ์อันหนักแน่นที่เป็นแรงขับให้ยังคงต่อสู้กับความอยุติธรรม ที่ฝ่ายแบกรับยังคงเป็นประชาชนผู้เป็นฐานรากของพีระมิด

“คนถามว่าทำไมต้องลุกขึ้นมาสู้เรื่องนี้ด้วย ตอบไม่ได้นะ แต่มีความรู้สึกว่าเราต้องสู้ ไม่ได้เป็นคนดีอยากช่วยชาวบ้านอะไรหรอก สู้เพื่อความเป็นธรรมอย่างเดียว ความเป็นธรรมมันต้องมีในสังคม คนใหญ่คนโตชอบพูดว่าบ้านเมืองมีกฎหมาย ประชาชนถ้าไม่เคารพกฎหมายจะอยู่ได้ยังไง แต่เรากำลังจะบอกว่า มึงให้กูเคารพกฎหมายฝ่ายเดียวโดยที่มึงไม่เคยเคารพกฎหมายเลย ช่องว่างทางกฎหมายตรงไหนที่เอื้อนายทุนได้มึงเอื้อหมด ฉะนั้นถ้าไม่มีคนอย่างเรามาสู้ แล้วจะรอให้ใครมาสู้

“แล้วถามว่ากังวลมั้ยที่ต้องสู้กับอำนาจรัฐ อำนาจนายทุน เป็นคนเหมือนกันแหละ มันก็กลัว แต่คนเราเกิดมามีชีวิตเดียว ตายครั้งเดียว ตายแล้วก็ตายไป อย่างน้อยๆ คนเราเกิดมาทั้งที ไม่ได้เกิดมาทำเพื่อตัวเอง แต่ทำประโยชน์ให้กับแผ่นดินได้ มันไม่เสียชาติที่เกิดมาเป็นคนหนึ่งชาติ ส่วนตัวไม่ได้อยากเป็นแนวหน้าหรอก แต่พอดีเรามีปากเป็นอาวุธ (ยิ้ม) แล้วเราไม่ได้สู้คนเดียว มีปลาเล็กเป็นเพื่อนเยอะมาก มีคนทุกพื้นที่ที่พร้อมจะลุกขึ้นมาสู้เพื่อความถูกต้อง”


กรีนพีซ ประเทศไทย ร่วมทำงานกับเครือข่ายชุมชน

เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชนในหลากรูปแบบประเด็น เราส่งเสริมสันติภาพ โดยไม่รับเงินสนับสนุนจากบริษัท รัฐบาล หรือ พรรคการเมืองใด เพื่อความเป็นอิสระทางการทำงาน