ภาวะโลกเดือดที่เรากำลังเจอทำให้ปัจจุบันมีอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกสูงขึ้น 1.3องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม (เทียบกับอุณหภูมิในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1805 กับ 1900 ) และระดับน้ำทะเลทั่วโลกก็สูงขึ้น 20 เซนติเมตร 

อธิบายง่าย ๆ ว่าโลกที่เราอาศัยอยู่เริ่มมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมนั่นเอง ซึ่งสถานการณ์นี้ไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นหรือการเผชิญกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วอาจยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก หากทั่วโลกยังไม่ทำตามเป้าหมายในความตกลงปารีส ที่พยายามคงอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เกินกว่า 2 องศาเซลเซียส
แต่ล่าสุด IPCC และอีกหลากหลายองค์กรที่ทำงานด้านสภาพภูมิอากาศโลกเห็นตรงกันว่า 2 องศาเซลเซียสอาจไม่พอที่จะปกป้องประชากรโลกจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ แต่ต้องเป็น 1.5 องศาเซลเซียส

ทำไมต้อง 1.5 องศา?

  • เพื่อปกป้องไม่ให้ประชากรโลกกว่า 10 ล้านคนต้องเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล และประชาชนราว 420 ล้านคนจากความเสี่ยงเผชิญคลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งและรุนแรง
  • ลดความเสี่ยงที่ประชากรโลกจะขาดแคลนน้ำลง 50%
  • ลดจำนวนคนที่ต้องเสี่ยงจากภัยพิบัติจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศและความยากจนได้ถึงหลายร้อยล้านคนภายในปี 2050
  • ประเทศต่างๆ จะสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ถึง 10-44% ภายในปี 2100 ซึ่งจะช่วยปกป้องโลกจากหายนะทางเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงถึง 22 ล้านล้านดอลลาร์
  • เราสามารถชะลอไม่ให้อุณหภูมิเฉลี่ยโลกเพิ่มขึ้น 0.12 องศาเซลเซียส ภายในปี 2050 เพียงแค่ลดการผลิตจากภาคอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นม
  • การป้องกันการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยโลกแค่ 0.3°C ภายใน 100 ปีนี้ จะช่วยผู้คน 410 ล้านคนจากคลื่นความร้อนจัดที่อันตราย
  • การป้องกันการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิทุกๆ 0.1°C จะทำให้มวลน้ำแข็งบนธารน้ำแข็งทั่วโลกละลายน้อยลง 2% จะช่วยลดความเสี่ยงของชุมชนชายฝั่งทั่วโลกหลายล้านคนจากผลกระทบของระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและภัยน้ำท่วม

#GreenpeaceTH #CutMethaneNow


ร่วมสนับสนุนการทำงานของกรีนพีซ

เราทำงานรณรงค์เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและสิทธิชุมชนหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การวิจัยข้อมูล รายงานทางวิทยาศาสตร์ และรณรงค์กับประชาชนด้วยข้อมูลเหล่านี้