นี่คือโอกาสสำคัญของคนรุ่นเราที่จะปกป้องสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมจากมลพิษพลาสติกและวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ปัจจุบันเรามีข้อมูลเป็นประจักษ์แล้วว่า ตัวเลขการผลิตพลาสติกทั่วโลกเพิ่มขึ้นจากปี 2543 ถึงปี 2562 เป็นเท่าตัว โดยโลกผลิตพลาสติกมากถึง 460 ล้านตัน (Mt) ต่อปี และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 3 เท่าภายในปี 2593 นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าโลกจะปล่อยคาร์บอนได้อีกเพียง 13% เท่านั้นหากต้องการคงอุณหภูมิไว้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส
การผลิตพลาสติกเช่นนี้หากยังไร้การควบคุมก็จะเร่งให้เกิดวิกฤตต่อโลกอย่างหนัก ทั้งวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มลพิษและการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ เป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชนถึงขนาดที่ไม่สามารถจินตนาการได้ รวมทั้งยิ่งทำให้วิกฤตด้านมนุษยธรรมรุนแรงขึ้นทั่วโลก ทั้งปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ การเหยียดเพศ และความเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ตาม การเจรจาระดับโลกเกี่ยวกับสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่จะเกิดขึ้นที่เคนยาก็ใกล้เข้ามาทุกที ผู้นำโลกจะต้องยกระดับการแก้ไขมลพิษพลาสติกให้อยู่บนพื้นฐานของความจริงและต้องยอมรับได้แล้วว่าปัญหาพลาสติกกลายเป็นวิกฤตที่เร่งด่วน และหนทางเดียวที่จะหลีกเลี่ยงผลกระทบอย่างรุนแรงของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ คือการตั้งเป้าหมายและกฎเกณฑ์ที่สามารถลดปริมาณการผลิตพลาสติก และการประชุมเจรจาครั้งนี้ก็เป็นโอกาสที่ดีที่ผู้นำโลกจะแสดงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหา ซึ่งหากพวกเขาทำไม่สำเร็จ โลกของเราก็จะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง
การลดการผลิตพลาสติกลงอย่างน้อย 75% จะทำให้เราหลีกเลี่ยงหายนะจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
หากพิจารณาถึงมลพิษพลาสติกผ่านมุมมองด้านสภาพภูมิอากาศ ก็มีแบบจำลองโดย Eunomia และ Pacific Environment ที่แสดงให้เราเห็นว่าหากลดการผลิตพลาสติกลง 75% ภายในปี 2593 จะช่วยคงอุณหภูมิเฉลี่ยโลกไม่ให้เกิด 1.5 องศาเซลเซียส และยังจะป้องกันผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศร้ายแรงที่เกิดจากอุณหภูมิโลกที่สูงขึ้นอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น จากรายงานสถิติล่าสุดเกี่ยวกับการทบทวนสถานการณ์และการดำเนินงานระดับโลก (Global Stocktake) ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คาดการณ์ว่าโลกใกล้ที่จะไม่สามารถคงอุณหภูมิเฉลี่ยไว้ที่ 1.5 องศาเซลเซียสได้แล้ว รายงานยังเสนอให้ผู้นำทั่วโลกต้องลงมือแก้ไขภาวะโลกเดือดอย่างจริงจังมากกว่านี้เพื่อปกป้องทุกชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลก
การตั้งเป้าหมายลดการผลิตพลาสติกทั่วโลกให้ได้อย่างน้อย 75% ภายในปี 2583 จึงตอบโจทย์ข้อเสนอนี้ให้เข้มข้นและทะเยอทะยานมากขึ้นในมาตรการการแก้ปัญหาระดับสากลและด้วยเป้าหมายนี้ไม่เพียงแค่จะช่วยให้แต่ละประเทศไปถึงเป้าหมายการกู้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่ยังสร้างอาชีพ ยกระดับให้นวัตกรรมที่เป็นทางออกของวิกฤตสภาพภูมิอากาศให้เข้มข้นและทำได้จริง และนำไปสู่โลกคาร์บอนต่ำ ปลอดมลพิษ และไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนที่อยู่บนพื้นฐานระบบใช้ซ้ำ
สนธิสัญญาพลาสติกต้องเอื้อประโยชน์ต่อชุมชนและแรงงาน ไม่ใช่กลุ่มอุตสาหกรรมฟอสซิล
ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ที่ กลุ่มบริษัทฟอสซิลวางแผนใช้ประเด็นสภาพภูมิอากาศเพื่อหยุดการแก้ปัญหาที่ทะเยอทะยาน รวมทั้งโน้มน้าวรัฐบาลหลายประเทศให้ดำเนินนโยบายไปในทิศทางที่พวกเขากำหนดเพื่อผลกำไรในระยะสั้น ก่อนหน้านี้รายงานหลายฉบับระบุว่าตัวแทนผู้เจรจาต่อรองข้อตกลงสนธิสัญญาพลาสติกโลกหลายคนมีความเชื่อมโยงหรือเป็นที่ปรึกษาให้กับอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ อีกทั้งยังพยายามทำให้โลกเจอกับความล้มเหลวด้วยการปกป้องผลประโยชน์ของกลุ่มธุรกิจด้วยการทำให้โลกมองข้ามวิธีการแก้วิกฤตพลาสติกด้วยการลดการผลิตโดยตรง ดังนั้นผู้นำโลกจะต้องปฏิเสธการโน้มน้าวของตัวแทนจากกลุ่มธุรกิจเหล่านี้
จากประสบการณ์การเจรจาด้านสภาพภูมิอากาศที่ผ่านมาหลายสิบปี เราต่างทราบดีว่าการเจรจาต้องการเป้าหมายที่หนักแน่นและทะเยอทะยานพอ ทั่วโลกจะต้องเห็นควรร่วมกันเกี่ยวกับการลดการใช้พลาสติกและต้องเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นธรรมโดยมุ่งเน้นไปที่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์นี้และผู้ก่อมลพิษจะต้องชดเชยค่าความสูญเสียและเสียหายอีกด้วย

การเจรจาเริ่มต้นขึ้นแล้ว ตอนนี้เราต้องเริ่มลงมือทำเพื่อแก้ปัญหา
ร่างสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่ออกมาเมื่อไม่นานมานี้ (Zero Draft) ได้รวบรวมโครงสร้างด้านกฎหมายพื้นฐานที่ต้องใช้ความหนักแน่นที่จะผลักดันให้ทั่วโลกตั้งเป้าหมายลดการผลิตพลาสติก การเจรจาครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีและเราต้องการความมุ่งมั่น ทะเยอทะยานมากพอจากผู้นำทั่วโลกที่จะแก้ปัญหานี้อย่างจริงจัง
สนธิสัญญาพลาสติกโลกเป็นโอกาสที่คนรุ่นเราจะแก้ปัญหามลพิษพลาสติก เราและเครือข่ายพันธมิตรอย่างเครือข่าย Break Free from Plastic รวมทั้งผู้คนอีกหลายล้านคนกำลังร่วมกันแก้ไขปัญหาและเรียกร้องรัฐบาลให้มุ่งมั่นแก้ปัญหา เราสามารถทำให้สนธิสัญญาพลาสติกโลกบรรลุด้วยความมุ่งมั่นและยุติยุคพลาสติกได้
เกรย์แฮม ฟอร์บส์ (Graham Forbes) หัวหน้าทีมเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกโลกและหัวหน้าโครงการพลาสติกระดับสากล กรีนพีซ สหรัฐอเมริกา
บทความนี้แปลจากบทความต้นฉบับภาษาอังกฤษ อ่านบทความต้นฉบับ
Discussion
ดิฉันอยากให้มีสิ่งประดิษใหม่ๆ ช่วยเหลือสิ่งแวดล้อม ขอเสนอความคิดไอเดียใหม่เรื่อง พลาสติกว่าควรจะมีสิ่งประดิษใหม่ที่ทำให้พลาสติกหมดอายุย่อยสลายได้เองภายใน1สัปดาห์ ทำขึ้นแทนพลาสติกที่ใช้อยู่ในปัจุบันที่ใช้เวลานานหลายสิบปีกว่าจะย่อยสลายเองคะ ถุงหิ้วพลาสติก ถุงใส่อาหารร้อนเย็น พลาสติกต่างๆล้วนให้มีอายุใช้งานได้ไม่เกิน1เดือน และ1ปีสำหรับแพ็คเก็ตจิ้งเท่านั้น บางอย่างให้มีอายุแค่1สัปดาห์มาทดแทนพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งในปัจุบันนี้ ดิฉันอยากให้นักวิจัย นักประดิษฐ์และนักวิทยาศาสตร์ ค้นคว้าประดิษฐิ่งพลาสติกที่มีวันหมดอายุและย่อยสลายเองในธรรมชาติขึ้นมาใช้แทนปัจุบันนี้ช่วยสิ่งแวดล้อมและลดขยะได้ด้วยคะ ขอฝากข้อเสนอคิดเห็นนี้ นับถือ รัชฎา สมาชิกกรีนพีช ในวันที่ จ. 13 พ.ย. 2023 19:41 น. พิชามญชุ์ รักรอด เขียนว่า: แสดงข้อความที่ยกมา ดิฉันต้องขอขอบคุณคุณรัชฎามากเลยนะคะสำหรับไอเดียที่นำเสนอมา ทางออกสำหรับการแก้ปัญหามลพิษพลาสติกที่กรีนพีซนำเสนอมาตลอด ไม่ได้เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่เลยค่ะ ? แต่เป็นการใช้บรรจุภัณฑ์หมุนวนไปเรื่อยๆ จนหมดอายุการใช้งานของบรรจุภัณฑ์นั้นๆค่ะ เราจึงเรียกร้องให้เจ้าของแบรนด์สินค้านำเอาบรรจุภัณฑ์ใช้ซ้ำมาใช้แทนพลาสติกใช้ครั้งเดียวทิ้งค่ะ นอกจากนี้อีกสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจ ก็คือ ภาชนะที่ทำจากกาบหมากหรือชานอ้อย 100% แบบไม่มีพลาสติกเคลือบ ซึ่งจะสามารถย่อยสลายได้จริงในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติค่ะ หากคุณรัชฎามีไอเดียใหม่ๆมาแลกเปลี่ยนกันได้นะคะ ? ดิฉันยินดีพูดคุยในโอกาสต่อไปค่ะ ขอบคุณค่ะ พิชามญชุ์ รักรอด ในวันที่ พฤ. 16 พ.ย. 2023 เวลา 10:56 Nicky Ratchada เขียนว่า: แสดงข้อความที่ยกมา -- ติดตามกรีนพีซเพิ่มเติมที่