All articles
-
ระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) คืออะไร และทำไมจึงเป็นทางออกของวิกฤตฝุ่นพิษข้ามพรมแดน
ระบบตรวจสอบย้อนกลับ หรือ traceability คือกลไกที่สำคัญมากสำหรับสิทธิในการรับรู้ข้อมูลของผู้บริโภคและทุกคนที่อาจได้รับผลกระทบจากห่วงโซ่อุปทานการผลิตของสินค้า ว่าแต่ละขั้นตอนการผลิตนั้นเกี่ยวโยงกับการก่อมลพิษและการทำลายสิ่งแวดล้อมรูปแบบใดหรือไม่ เช่น การทำลายป่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น สิทธิเกษตรกร แรงงานทาส หรือสิทธิต่อการมีอากาศที่ดีสำหรับหายใจของประชาชนในพื้นที่ และการเปิดเผยข้อมูลจากการตรวจสอบย้อนกลับอย่างโปร่งใสนี้ คือภาระการพิสูจน์ความจริงที่บริษัทอุตสาหกรรมจะต้องทำ
-
แถลงการณ์กรีนพีซ : ตราบใดที่ไม่มีระบบตรวจสอบย้อนกลับ ใครก็แก้วิกฤตฝุ่นพิษ PM2.5 ข้ามแดนไม่ได้
การกำหนดบังคับใช้นโยบายเพื่อแก้ปัญหาฝุ่นพิษข้ามแดนจากต้นเหตุได้อย่างแท้จริงจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากยังขาดการบังคับใช้ระบบตรวจสอบย้อนกลับตลอดห่วงโซ่การผลิตทุกขั้นตอน และการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสของบริษัทอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์
-
ป่าไม้ จิตวิญญาณ และความเป็นผู้นำหญิงปกาเกอะญอของแม่หลวงหน่อแอ่ริ
ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นผู้นำหญิง หรือ “แม่หลวง” ในชุมชนปกาเกอะญอ ในบทสัมภาษณ์นี้กรีนพีซจะพาไปสำรวจความคิดของ หน่อแอ่ริ ทุ่งเมืองทอง ถึงความเป็นหญิงและบทบาทผู้นำชนพื้นเมืองท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งวิกฤตโลกร้อนและนโยบายของประเทศและโลกที่ยังไม่ได้ยอมรับสิทธิของผู้หญิงและชนพื้นเมืองอย่างเท่าเทียม
-
การฟ้องคดีฝุ่นภาคเหนือและความคาดหวังของคนเหนือต่ออำนาจตุลาการ: บทสัมภาษณ์ทีมทนายผู้ฟ้อง
ก่อนที่ศาลปกครองจะตัดสินคดีความ กรีนพีซอยากชวนมาพูดคุยถึงประเด็นนี้อีกครั้ง กับสองตัวแทนทีมทนายประชาชนชาวเหนือ—กรกนก วัฒนภูมิ และ วัชลาวลี คำบุญเรือง
-
ประชาชาติอาเซียนต้องปกป้องสิทธิประชาชนจากฝุ่นพิษข้ามพรมแดน
ประชาชาติอาเซียนต้องปกป้องสิทธิประชาชนจากฝุ่นพิษข้ามพรมแดน
-
ความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมที่เลือนลาง ในคำแถลงนโยบายของรัฐบาลใหม่ต่อรัฐสภาวันที่ 11 กันยายน 2566
จากการเลือกตั้ง 2566 มาสู่การจัดตั้งรัฐบาล กรีนพีซ ประเทศไทยติดตามตรวจสอบนโยบายสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลที่เข้ามาบริหารประเทศ เริ่มต้นจากการทำ check list ข้อเสนอนโยบายสิ่งแวดล้อมที่รวบรวมจากการทำงานรณรงค์อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมากับคำแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา
-
รายงานเผย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุกผืนป่าในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงเพิ่มเป็น 11.8 ล้านไร่
กรีนพีซ ประเทศไทยเปิดเผยผลการวิเคราะห์ภาพดาวเทียมปี 2564-2566 ระบุอุตสาหกรรมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังคงมีบทบาทสำคัญในการทำลายผืนป่าในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ในขณะที่จุดความร้อน (Hot Spot) ในพื้นที่ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลที่ผ่านมาล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมายลดจุดความร้อนภายใต้แผนปฏิบัติการเชียงราย (Chiangrai Plan of Action) และมีส่วนสนับสนุนให้อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ละเลยภาระรับผิดต่อวิกฤตมลพิษทางอากาศข้ามพรมแดนตลอดห่วงโซ่อุปทาน
-
ผลวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ป่าไม้ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และจุดความร้อน ในอนุภูมิภาคลุ่มนํ้าโขง ปี 2564-2566 : ความท้าทายของระบบตรวจสอบย้อนกลับของอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์
ข้อมูลการวิเคราะห์จากภาพถ่ายดาวเทียมล่าสุดระบุว่าในปี 2566 พบจุดความร้อนในแปลงข้าวโพดเลี้ยง สัตว์มากถึงร้อยละ 41 ของจุดความร้อนทั้งหมดในอนุภูมิภาคลุ่มนํ้าโขง ขณะเดียวกัน ผืนป่าในอนุภูมิภาค ลุ่มนํ้าโขงหายไป 11.8 ล้านไร่จากการขยายตัวของข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในระยะเวลาเพียง 9 ปี (ปี 2558-2566)
-
ปรัตถกร จองอู : บทสนทนาว่าด้วยความไม่เป็นธรรมทางสัญชาติของคนชาติพันธุ์และข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ข้อเท็จจริงของปัญหาเรื่องฝุ่นพิษและข้าวโพดเลี้ยงสัตว์นั้นไม่ใช่แค่วิถีการทำเกษตรจากประชาชนกลุ่มเล็ก ๆ บนพื้นที่ภูเขา แต่เงื่อนไขที่ผลักดันให้คนบนดอยต้องพึ่งพารายได้จากการปลูกข้าวโพดนั้นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างทางสังคมที่เรื้อรังมายาวนานและตอกย้ำความไม่เป็นธรรมทางสิทธิมนุษยชน
-
สรุปสถานการณ์ความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมครึ่งปีแรก 2566 : ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงในไทยท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศโลก
แม้ว่าในปี 2566 นี้จะเริ่มต้นด้วยสถานการณ์โรคระบาดที่ทุเลาลงและผู้คนได้กลับมาใช้ชีวิตที่เกือบจะเหมือนเดิมอีกครั้ง แต่ทั้งไทยและทั่วโลกยังคงต้องจับตาวิกฤตสภาพภูมิอากาศและสถานการณ์การคัดค้านและเรียกร้องให้กลุ่มบรรษัทผู้ก่อมลพิษหลัก ต้องหยุด การฟอกเขียว และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากต้นทาง รวมทั้งต้องจ่ายค่าความสูญเสียและเสียหายต่อกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศอีกด้วย