เมืองนีซ, ฝรั่งเศส, 13 มิถุนายน 2568 การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องมหาสมุทร (The UN Ocean Conference: UNOC) ได้ปิดฉากลงอย่างเป็นทางการในวันนี้ พร้อมความก้าวหน้าสำคัญในการผลักดัน “สนธิสัญญาทะเลหลวง” (High Seas Treaty) สู่การให้สัตยาบัน โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อโดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดตั้งเขตอนุรักษ์ในน่านน้ำสากล ซึ่งจะเป็นเครื่องมือทางกฎหมายเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถใช้ปกป้องพื้นที่มหาสมุทรได้อย่างแท้จริง สนธิสัญญานี้ถือเป็นกลไกหลักในการบรรลุเป้าหมายการอนุรักษ์อย่างน้อยร้อยละ 30 ของมหาสมุทรโลกภายในปี 2573  อีกทั้งยังมีความเคลื่อนไหวด้านการลดขยะพลาสติก เมื่อ 95 ประเทศร่วมลงนามแสดงเจตจำนงในการจัดทำสนธิสัญญาพลาสติกฉบับใหม่ ขณะเดียวกัน มีประเทศที่ให้สัตยาบันต่อสนธิสัญญาทะเลหลวงแล้วจำนวน 50 ประเทศ รวมถึงสหภาพยุโรป แสดงถึงแรงสนับสนุนที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องในเวทีระหว่างประเทศ

ประเด็นการทำเหมืองในทะเลลึกได้กลายเป็นหัวข้อสำคัญที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นวาระสำคัญในการประชุม UNOC ครั้งนี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเร่งด่วนในการต่อต้านอุตสาหกรรมดังกล่าว ภาคประชาสังคมและประเทศจำนวนมาก รวมถึงประเทศเจ้าภาพร่วมของการประชุมต่างคาดหวังให้รัฐบาลต่าง ๆ แสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการหยุดยั้งการทำเหมืองใต้ทะเลลึก ณ เมืองนีซ เลขาธิการสหประชาชาติ อันโตนิโอ กูเตอร์เรส กล่าวว่า ทะเลลึกไม่ควรถูกปล่อยให้กลายเป็นดินแดนตะวันตกที่ไร้กฎหมาย (wild west) ขณะที่ประธานาธิบดีฝรั่งเศส เอ็มมานูเอล มาครง ย้ำว่า การชะลอการทำเหมืองใต้ทะเลลึก ถือเป็นความจำเป็นในระดับนานาชาติ โดยมี 4 ประเทศประกาศเข้าร่วมสนับสนุนข้อเรียกร้องให้มีการพักชะลอ (moratorium) เพิ่มเติม ส่งผลให้ขณะนี้มีประเทศที่สนับสนุนข้อเสนอดังกล่าวรวมแล้ว 37 ประเทศ ความสนใจจึงกำลังจับจ้องไปที่การดำเนินการของรัฐบาลต่าง ๆ ในเดือนกรกฎาคมนี้ ว่าจะมีมาตรการใดที่เป็นรูปธรรมในการหยุดยั้งอุตสาหกรรมดังกล่าวไม่ให้เริ่มต้นขึ้น

เมแกน แรนเดิลส์ หัวหน้าคณะผู้แทนของกรีนพีซ กล่าวถึงความคืบหน้าของสนธิสัญญาทะเลหลวงและการยับยั้งการทำเหมืองใต้ทะเลลึก ว่า“แม้การให้สัตยาบันสนธิสัญญาทะเลหลวงอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ความคืบหน้าที่เกิดขึ้นที่เมืองนีซกลับรู้สึกว่างเปล่า เมื่องานประชุม UNOC ครั้งนี้สิ้นสุดลงโดยไม่มีพันธสัญญาที่จับต้องได้ในการหยุดยั้งการทำเหมืองใต้ทะเลลึก”

“แม้เราจะได้ยินวาทะกรรมที่สวยหรูมากมายตลอดการประชุมที่เมืองนีชแต่วาทกรรมเหล่านี้จะไม่มีความหมาย หากไม่ถูกแปรเปลี่ยนเป็นการลงมือทำที่เป็นรูปธรรม  ประเทศต่าง ๆ ต้องกล้าหาญ ลุกขึ้นมาแสดงพลังเพื่อความร่วมมือระดับโลก และร่วมกันสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการหยุดยั้งการทำเหมืองใต้ทะเลลึกภายในปีนี้ โดยเริ่มจากการประกาศสนับสนุนการพักชะลอการทำเหมือง (moratorium) ในการประชุมองค์กรพื้นดินท้องทะเลระหว่างประเทศ (International Seabed Authority-ISA) ที่จะจัดขึ้นในเดือนหน้า เราขอชื่นชมประเทศที่ออกมาแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน และขอเรียกร้องให้ประเทศอื่น ๆ เดินหน้าเคียงข้างฝ่ายที่ถูกต้องของประวัติศาสตร์ ด้วยการปกป้องทะเลลึกจากอุตสาหกรรมที่เสี่ยงต่อระบบนิเวศนี้”

หลังจากการประชุม UNOC ในครั้งนี้ ทุกสายตาจะจับจ้องไปที่การประชุมองค์กรพื้นดินท้องทะเลระหว่างประเทศ หรือ ISA ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนกรกฎาคม ท่ามกลางสถานการณ์ที่บริษัท The Metals Company กำลังร่วมมือกับโดนัลด์ ทรัมป์ พยายามจะเปิดทางสู่การทำเหมืองใต้ทะในระดับโลก การประชุม ISA ครั้งนี้จึงกลายเป็นเป็นเวทีสำคัญที่รัฐบาลทั่วโลกสามารถรวมพลังกันเพื่อปกป้องทะเลลึก ด้วยการสนับสนุนการพักชะลอทำเหมืองใต้ทะเลลึก และหยุดยั้งอุตสาหกรรมที่เลวร้ายนี้ก่อนที่จะสายเกินไป

การเจรจาจัดทำสนธิสัญญาพลาสติกระดับโลกมีกำหนดจะกลับมาเริ่มอีกครั้งในเดือนสิงหาคมที่กรุงเจนีวา

จอห์น โฮเซวาร์ ผู้อำนวยการฝ่ายรณรงค์ด้านทางทะเลและมหาสมุทร กรีนพีซ สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า“ประเทศส่วนใหญ่ได้แสดงจุดยืนแล้วอย่างชัดเจนผ่านการลงนามในแถลงการณ์ เรียกร้องสนธิสัญญาพลาสติกที่เข้มแข็งและมีเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน (Nice Call for an Ambitious Plastics Treaty) ว่าพวกเขาต้องการสนธิสัญญาที่สามารถลดการผลิตพลาสติกได้จริง และเมื่อเราก้าวต่อจากการประชุม UNOC ไปสู่เวทีเจรจาสนธิสัญญาพลาสติกระดับโลก ณ กรุงเจนีวาในเดือนสิงหาคม ประเทศเหล่านี้จำเป็นต้องลงมือทำอย่างจริงจัง โลกไม่สามารถยอมรับสนธิสัญญาที่อ่อนแอซึ่งถูกกำหนดโดยผู้ขัดขวางผลประโยชน์ที่มีความเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมน้ำมันได้อีกต่อไป”

“เสียงข้างมากที่มีความมุ่งมั่นต้องลุกขึ้นมารับบทบาทในช่วงเวลาสำคัญนี้ ยืนหยัดอย่างมั่นคง และผลักดันให้เกิดสนธิสัญญาพลาสติกระดับโลกที่ลดการผลิตพลาสติก ปกป้องสุขภาพของประชาชน และส่งมอบความยุติธรรมให้กับชนเผ่าพื้นเมืองและชุมชนในแนวหน้า รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ต้องแสดงให้เห็นว่าความร่วมมือพหุภาคียังคงทำงานเพื่อผู้คนและโลกของเรา ไม่ใช่เพื่อผลกำไรของคนเพียงหยิบมือที่แสวงหาประโยชน์อย่างละโมบ”

ณิชนันท์ ตัณธนวิทย์ หัวหน้าโครงการ ความเป็นธรรมทางมหาสมุทร (Ocean Justice Project) กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้  กล่าวว่า:

“ชุมชนชายฝั่งและชนเผ่าพื้นเมือง รวมถึงชาวประมงพื้นบ้านต่างมีบทบาทในการปกป้องทะเลและมหาสมุทรมายาวนานหลายชั่วรุ่น แต่วันนี้พวกเขาถูกคุกคามจากอุตสาหกรรมที่นำพาความเสื่อมโทรมทางระบบนิเวศและสิทธิมนุษยชน””

“เมื่อการประชุม UNOC สิ้นสุดลง รัฐบาลทั้งหลายต้องยอมรับบทบทของชาวประมงพื้นบ้านและชนเผ่าพื้นเมืองในฐานะผู้มีสิทธิ์ตามกฎหมาย ให้ความมั่นใจว่าพวกเขาจะมีสิทธิ์การเข้าถึงและมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลอย่างแท้จริง พร้อมทั้งหยุดยั้งแนวปฏิบัติที่ทำลายล้าง เช่น อวนลากหน้าดิน และการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่เป็นอันตราย เพราะเราไม่อาจปกป้องมหาสมุทรได้ หากปราศจากผู้คนที่ร่วมปกป้องมันมาตลอด”

แผนปฏิบัติการมหาสมุทรแห่งเมืองนีซ (Nice Ocean Action Plan) ที่หลายฝ่ายเฝ้ารอซึ่งประกอบด้วยปฎิญญาทางการเมืองและพันธสัญญาโดยสมัครใจ คาดว่าจะมีการประกาศอย่างเป็นทางการในวันนี้ในช่วงท้ายของการประชุม อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอทั้งหมดในแผนดังกล่าวจะไม่มีข้อใดที่มีผลผูกพันทางกฎหมายโดยตรง จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่รัฐบาลต้องแสดงความมุ่งมั่นอย่างจริงจังในการประชุม ISA ครั้งต่อไปในเดือนกรกฎาคม และการเจรจาจัดทำสนธิสัญญาพลาสติกระดับโลกในเดือนสิงหาคม เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืนในการปกป้องมหาสมุทรโลก

สามารถดาวน์โหลดภาพนิ่งและวิดีโอได้ที่นี่

ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ

ชุติพนธ์ พิสิษฐ์ธนาดุล, Oceans Project Communications Specialist, 0648195625, [email protected]

Greenpeace International Press Desk: +31 (0)20 718 2470 (available 24 hours), [email protected]

โต๊ะข่าวกรีนพีซ สากล โทร. : +31 (0)20 718 2470 (ตลอด 24 ชั่วโมง) อีเมล [email protected]